Filtrer par genre

นิทานชาดก

นิทานชาดก

072

นิทานชาดก ได้รับการสนับสนุนโดย คุณบุญชัย เบญจรงคกุล คนในโลกนี้อยากทำดี อยากเป็นคนดีทุกคน แต่เพราะไม่มีต้นแบบดีๆ เป็นแบบอย่าง จึงต่างคิดหามาตรฐานทำความดี ต่างๆ กันไป ที่พอมีปัญญาก็ทำดีถูกวิธีได้สั่งสมความดีเป็นบารมี ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคน แต่ที่มีปัญญาน้อย เห็นผิดเป็นชอบก็หลงทาง ขาดทุนไปชาติหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เราจึงควรศึกษาต้นแบบการทำความดีจาก "ชาดก" เพื่อเป็นแบบอย่าง ในการศึกษาปลูกฝังศีลธรรมผ่านเรื่องราวของบรมครูผู้เป็นต้นแบบคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ในเรื่องราวของชาดก

430 - เกสวชาดก ชาดกว่าด้วย ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม
0:00 / 0:00
1x
  • 430 - เกสวชาดก ชาดกว่าด้วย ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม

    ครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี เศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ชอบถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นนิตย์ ถึงขนาดที่บ้านของท่านมีอาหารพร้อมสำหรับพระภิกษุ 500 รูปอยู่เสมอ เปรียบเสมือนบ่อน้ำสำหรับหมู่สงฆ์

    วันหนึ่ง พระราชาเสด็จประทักษิณพระนครและทรงเห็นพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากที่บ้านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ เมื่อทรงทราบว่าเศรษฐีถวายภัตตาหารแด่ภิกษุ 500 รูปเป็นประจำ พระองค์ก็ปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง นับแต่นั้นมา พระราชาจึงทรงให้ข้าหลวงจัดภัตตาหารเลิศรสถวายพระภิกษุ 500 รูปในพระราชนิเวศทุกวัน

    แต่กลับเกิดเรื่องน่าแปลกใจขึ้น แม้ภิกษุทั้งหลายจะมารับภัตตาหารอันโอชะจากในวัง แต่พวกท่านกลับไม่ฉัน ณ ที่นั้นเลย ท่านนำภัตตาหารรสเลิศเหล่านั้นไปยังบ้านของอุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคย แล้วมอบอาหารจากวังให้แก่คนเหล่านั้น จากนั้นจึงฉันภัตตาหารที่อุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคยถวายให้แทน

    เมื่อวันหนึ่ง ข้าหลวงไม่พบพระภิกษุรูปใดในโรงภัตตาหารของวัง พระราชาจึงทรงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดภิกษุทั้งหลายจึงทำเช่นนั้น ในเมื่ออาหารที่พระองค์ถวายล้วนเป็นอาหารรสเลิศ พระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่พระวิหารเชตวัน และทูลถามถึงสาเหตุ

    พระศาสดาทรงตรัสอธิบายว่า "การบริโภคอาหารนั้น ความคุ้นเคยกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้ที่ได้ทำความคุ้นเคยกันอย่างสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงไปฉันในที่ที่พวกท่านคุ้นเคย" เพื่อให้พระราชาทรงเข้าใจยิ่งขึ้น พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตกาลมาสาธก (เล่าชาดก) ดังนี้:

    ในอดีตนานมาแล้ว เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในชาติก่อน) ได้มาเกิดเป็นมาณพนามว่า "กัปปกุมาร" กัปปกุมารเติบโตขึ้นและภายหลังได้บวชเป็นฤๅษี และเป็นศิษย์เอกของพระเกศวดาบส ผู้มีศิษย์ 500 รูป อัธยาศัยใจคอของกัปปดาบสนั้นเป็นที่ถูกใจพระเกศวดาบสอย่างยิ่ง ทำให้ดาบสทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก

    วันหนึ่ง พระเกศวดาบสพาลูกศิษย์เข้าเมืองพาราณสีเพื่อบิณฑบาต และได้พำนักในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ฉันอาหารในวัง และให้พำนักอยู่ในพระราชอุทยานตลอดฤดูฝน เมื่อพ้นฤดูฝน พระเกศวดาบสทูลลาเพื่อกลับหิมวันต์ประเทศ แต่พระราชากลับขอให้ท่านอยู่ต่อ โดยให้ศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงกัปปดาบสกลับไปก่อน ด้วยเห็นว่าพระเกศวดาบสชราแล้ว

    แต่เมื่อพระเกศวดาบสต้องอยู่ห่างจากกัปปดาบสผู้คุ้นเคย ท่านก็รู้สึกรำคาญใจ คิดถึงศิษย์ผู้นั้นจนนอนไม่หลับ และล้มป่วยลงอย่างหนัก แพทย์หลวงทั้งห้าตระกูลที่พระราชาส่งมารักษา ก็ไม่สามารถหาสาเหตุหรือรักษาให้หายได้ เมื่อพระราชาทรงซักถาม พระเกศวดาบสจึงเปิดเผยว่า ตนป่วยเพราะคิดถึงกัปปดาบส และขอให้ส่งตนกลับไปยังหิมวันต์ประเทศ

    พระราชาทรงให้ "นารทอำมาตย์" ไปส่งพระเกศวดาบสกลับหิมวันต์ประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า ทันทีที่พระเกศวดาบสได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น ความรำคาญใจและความทุกข์ก็สงบลง กัปปดาบสได้ถวายยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือย พร้อมกับผักต้มที่ปรุงด้วยน้ำเปล่าไม่เค็ม โรคของพระเกศวดาบสก็ทุเลาลงทันที

    เมื่อนารทอำมาตย์กลับไปรายงานอาการ พระราชาทรงเป็นห่วงจึงส่งท่านกลับไปดูอาการอีกครั้ง นารทอำมาตย์พบว่าพระเกศวดาบสหายป่วยแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ จึงทูลถามว่าเหตุใดอาหารง่ายๆ ของกัปปดาบสจึงรักษาโรคที่แพทย์หลวงไม่สามารถทำได้

    พระเกศวดาบสจึงตรัสว่า "อาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้คุ้นเคยกันและสถานที่ที่บริโภค การบริโภคในที่ที่คุ้นเคยนั้นย่อมดีกว่า เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม"

    เมื่อพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง พระองค์ก็ทรงประชุมชาดก โดยตรัสว่า พระราชาในครั้งนั้นคือพระอานนท์ นารทอำมาตย์คือพระสารีบุตร พระเกศวดาบสคือหมู่มหาพรหม ส่วนกัปปดาบสผู้เป็นที่รักและคุ้นเคยนั้น คือเราตถาคต (พระพุทธเจ้า) นั่นเอง

    Sun, 20 Jul 2025 - 13min
  • 429 - อารามทูสกชาดก ชาดกว่าด้วย ความฉลาดอันไม่เป็นประโยชน์

    ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี มีเทศกาลประจำปีอันแสนสนุก ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาร่วมงานอย่างล้นหลาม. แต่ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง นายคนสวนกลับต้องนั่งทุกข์ใจอยู่ในสวน. เขาอยากไปเที่ยวงานใจจะขาด แต่ก็เป็นห่วงต้นไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ เนื่องจากเป็นฤดูแล้ง หากเขาไปเที่ยว ต้นไม้ก็จะขาดน้ำตายหมด.

    เขาจึงคิดหาทางออกอันชาญฉลาด. ในสวนแห่งนี้ มีฝูงลิงฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ และพวกมันก็กินดอกผลของต้นไม้ในสวนอย่างสุขสบายมาตลอด. นายคนสวนจึงเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าลิง "เพื่อนเอ๋ย อุทยานแห่งนี้เป็นที่อยู่และแหล่งอาหารของพวกท่านมานานแล้วนะ". หัวหน้าลิงตอบอย่างนอบน้อมว่า "ใช่แล้วท่าน พวกเราต้องขอบคุณท่านมากที่คอยดูแลต้นไม้เหล่านี้ให้มีดอกออกผล". นายคนสวนจึงกล่าวต่อไปว่า "บัดนี้ ในเมืองมีงานเทศกาลประจำปี ข้าอยากไปเที่ยวบ้าง แต่ก็เป็นห่วงต้นไม้ใหม่ หากฉันจะฝากให้เพื่อนและพวกพ้องช่วยดูแลรดน้ำต้นไม้ให้จะได้ไหม". หัวหน้าลิงและบริวารรับปากอย่างเต็มใจว่า "ได้สิท่าน ข้ายินดี พวกเราจะเอาใจใส่รดน้ำให้อย่างดีเลยทีเดียว".

    เมื่อวางแผนเรียบร้อย นายคนสวนก็นำเครื่องมือรดน้ำจำนวนมากมาวางไว้ให้ฝูงลิง. แล้วเขาก็ออกไปเที่ยวงานในเมืองอย่างสนุกสนาน.

    ขณะที่ฝูงลิงกำลังเตรียมตัวรดน้ำนั้น จ่าฝูงลิงก็เกิดความคิดขึ้นมา. มันร้องบอกบริวารว่า "ช้าก่อนพวกเรา อย่าเพิ่งทำ! พวกเจ้าคิดดูดีๆ ถ้าพวกเราไม่รดน้ำอย่างประหยัด มันจะเปลืองน้ำนะ ยิ่งเป็นหน้าแล้งอยู่ด้วย!". ลิงบริวารต่างถามว่า "แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะลูกพี่?". จ่าฝูงอวดอ้างว่าตนเองเฉลียวฉลาดรอบด้าน จึงตอบว่า "มันจะไปยากอะไรเล่า! พวกเจ้าดูข้าสิ อยากรู้ว่าต้นไม้ต้องการน้ำเท่าไหร่ ก็ดูที่รากสิ ถอนต้นไม้ออกมาก่อน ต้นไหนรากยาวก็รดมากหน่อย รากสั้นๆ ก็รดนิดๆ ก็พอ".

    ลิงบริวารทั้งหลายต่างเห็นดีเห็นงามในความฉลาดของจ่าฝูง. พวกมันจึงพากันถอนต้นไม้ที่ปลูกใหม่ออกมาดูราก แล้วจึงรดน้ำตามคำแนะนำของจ่าฝูง ทำให้ต้นไม้ส่วนใหญ่เสียหายเป็นอันมาก.

    ในขณะนั้นเอง มีบัณฑิตผู้หนึ่งเดินผ่านมาในสวน. เมื่อเห็นการกระทำของฝูงลิง ท่านก็เอ่ยปากถามว่า "ลิงเอ๋ย เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องถอนต้นไม้เหล่านี้ด้วยเล่า?". ฝูงลิงตอบอย่างภูมิใจว่า "พวกเรากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ และนี่คือวิธีประหยัดน้ำของพวกเราอย่างไรล่ะ ท่านไม่รู้เรื่องหรอก".

    เมื่อบัณฑิตทราบเรื่องทั้งหมด ท่านจึงอธิบายให้พวกลิงเข้าใจว่า "เจ้าลิงเอ๋ย ความคิดของเจ้าที่จะประหยัดน้ำนั้นถูกต้องแล้ว. แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องถอนต้นไม้ขึ้นมาดูรากหรอก เพียงแค่ดูขนาดของต้นไม้ก็พอ ต้นเล็กก็รดน้ำน้อยหน่อย ต้นใหญ่ก็รดให้มากหน่อย".

    แต่ฝูงลิงกลับไม่ยอมฟัง. พวกมันอวดดีว่า "ท่านไม่ต้องมาพูดหรอก พวกเราอยู่กับต้นไม้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเข้าใจดีกว่าท่าน!". แล้วพวกมันก็พากันรดน้ำต้นไม้ตามวิธีของตนต่อไป. บัณฑิตมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะอธิบายต่อ จึงเดินออกจากสวนด้วยความเศร้าใจ.

    เมื่อฝูงลิงทำงานเสร็จ ก็พากันนั่งพักผ่อนชมผลงานด้วยความภาคภูมิใจ. แต่เมื่อนายคนสวนกลับจากเที่ยวในเมืองมาถึง เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสวนของตนเละเทะ ต้นไม้ล้มตายเสียหาย. เขาโกรธมาก ตะโกนไล่ฝูงลิงออกจากสวนไปว่า "พวกเจ้าทำอะไรกับสวนของข้า! ไปเลย ไปอยู่ที่อื่นเลย! อุตส่าห์ไว้ใจ แต่กลับทำสวนเสียหายหมด!".

    และแล้ว ฝูงลิงผู้ที่อวดฉลาด ไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของบัณฑิต ก็ต้องได้รับบทลงโทษ ถูกไล่ออกจากสวน ต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ในป่า หาอาหารกินไม่สะดวกเหมือนเคย.

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความฉลาดที่ขาดปัญญาและไม่รับฟังคำแนะนำจากผู้รู้ ย่อมนำมาซึ่งความหายนะ. ในกาลต่อมา ฝูงลิงที่อวดฉลาดนี้ได้มาเกิดเป็นเด็กชาวบ้านที่ทำลายสวนของเศรษฐีในสมัยพุทธกาล และบัณฑิตผู้ที่พยายามตักเตือนลิงนั้น ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง.

    Fri, 18 Jul 2025 - 14min
  • 428 - อุทัญจนีชาดก ชาดกว่าด้วย หญิงโจร

    ณ กรุงพาราณสี ในยุคที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง หลังจากการสูญเสียภรรยาไป พระองค์ก็เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงพาบุตรชายออกบวชเป็นฤาษีในป่า ทั้งสองดำรงชีวิตอยู่ด้วยการบริโภคเผือก มัน และผลไม้ป่า

    อยู่มาวันหนึ่ง มีหญิงงามคนหนึ่งผู้ชำนาญในการล่อลวงผู้อื่น นางถูกพวกโจรชาวปัดจันตคามจับเป็นเชลย และถูกกวาดต้อนให้ขนข้าวของมีค่าไปยังชายแดน ด้วยความเจ้าเล่ห์ นางแสร้งทำทีคล้อยตามพวกโจรเพื่อหาโอกาสหลบหนี จนเมื่อสบโอกาส นางก็หลอกล่อโจรหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งให้หลงกลพานางแยกออกมาจากขบวน เพียงสองคนเข้าไปในป่า เมื่ออยู่ในที่ลับตาคนแล้ว นางก็รีบหนีเอาตัวรอดไปได้ทันที

    เมื่อหนีพ้นจากพวกโจรมาได้ หญิงผู้นั้นก็เดินหลงทางอยู่ในป่าจนมาถึงอาศรมของพระโพธิสัตว์ในยามเช้า ขณะนั้นพระโพธิสัตว์ออกไปหาผลไม้ในป่า มีเพียงดาบสหนุ่มผู้เป็นบุตรชายเฝ้าอาศรมอยู่ เมื่อดาบสหนุ่มได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ก็รีบออกมาดู หญิงนั้นแสร้งบอกว่าตนถูกโจรจับมาและเพิ่งหนีมาได้ จึงเหนื่อยล้ามากและขอพักที่อาศรม ทันทีที่เห็นดาบสหนุ่ม นางก็คิดในใจว่าจะใช้มารยาและความงามของตนล่อลวงให้เขาหลงใหล

    ไม่นานนัก หญิงนั้นก็ล่อลวงดาบสหนุ่มจนตกอยู่ในอำนาจของตน และชักชวนให้เขาละทิ้งการเป็นฤาษี เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกับนาง ดาบสหนุ่มหลงใหลในตัวนางจนรับปากจะไปอยู่ด้วย แต่ขอรอพบพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบิดาเพื่อบอกลาก่อน ทว่าหญิงเจ้ามารยานั้นเกรงว่าพระโพธิสัตว์จะรู้ทันแผนการและขับไล่ตน นางจึงขอเดินล่วงหน้าเข้าเมืองไปก่อน แล้วให้ดาบสหนุ่มตามไปภายหลัง

    นับแต่นางจากไป ดาบสหนุ่มก็เอาแต่คิดถึงนาง ไม่ยอมทำกิจวัตรประจำวันของตนเหมือนเช่นเคย เมื่อพระโพธิสัตว์กลับมายังอาศรม เห็นบุตรชายนั่งเศร้าอยู่จึงซักถาม ดาบสหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง พระโพธิสัตว์รู้ดีว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งบุตรที่กำลังลุ่มหลงได้ จึงอนุญาตให้ไป แต่ก่อนที่บุตรจะจากไป พระองค์ได้ให้โอวาทอันสำคัญยิ่งไว้ว่า "ลูกเอ๋ย หากเจ้าต้องการไปอยู่กับนางก็ไปเถิด แต่หากวันใดนางใช้ให้เจ้าทำงานเพื่อเลี้ยงดูนาง เมื่อนั้นเจ้าจงกลับมาหาพ่อเถิด"

    ดาบสหนุ่มไปอยู่กับหญิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นได้ไม่นาน นางก็ทำให้เขาตกอยู่ใต้อำนาจและใช้งานเขาอย่างหนักสารพัด ไม่ว่าจะสั่งให้หาเนื้อ หาสัตว์ หรือแม้แต่ให้ซักผ้าและเตรียมน้ำอาบ ดาบสหนุ่มถูกใช้ราวทาสจนทนไม่ไหว เมื่อนึกถึงคำพูดของบิดา เขาก็ตัดสินใจหนีกลับมายังอาศรมในป่าหิมพานต์ เมื่อกลับมาถึงแล้ว เขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง และขอโทษที่ตนไม่เชื่อฟัง

    พระโพธิสัตว์ปลอบใจบุตรชายแล้วสอนกสินบริกรรมให้ ไม่นานนัก ดาบสหนุ่มก็ได้อภิญญาและสมาบัติ เจริญพรหมวิหาร และได้ไปบังเกิดในพรหมโลกพร้อมกับบิดา

    นิทานชาดกเรื่องนี้สอนว่า: ทุลกุมาริกาผู้เจ้าเล่ห์ในอดีตชาตินั้น ก็คือทุลกุมาริกาผู้เล้าโลมภิกษุในสมัยพุทธกาล ส่วนดาบสน้อยผู้ถูกล่อลวง ก็คือภิกษุผู้ต้องการลาสิกขาในสมัยพุทธกาล และพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบิดา ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและถูกชักจูงในทางที่ผิด ย่อมประสบความทุกข์ แต่ด้วยปัญญาและการยึดมั่นในธรรมของบัณฑิต ย่อมสามารถกลับมาสู่หนทางแห่งความสงบสุขได้

    Thu, 17 Jul 2025 - 14min
  • 427 - เทวธรรมชาดก ชาดกว่าด้วย ธรรมของเทวดา

    นานมาแล้ว ณ กรุงพาราณสี ในสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ พระองค์มีพระโอรสสองพระองค์นามว่ามหิสสรารามกุมารและจันทกุมารจากพระมเหสีองค์แรก แต่พระมเหสีได้เสด็จสวรรคตไปตั้งแต่โอรสยังทรงพระเยาว์ ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตมีพระมเหสีใหม่ที่ทรงโปรดปรานมาก พระมเหสีใหม่จึงปรารถนาจะให้สุริยกุมารโอรสของตนได้ครองราชสมบัติ แม้จะทรงโปรดปรานพระมเหสีเพียงใด แต่พระเจ้าพรหมทัตก็ยังทรงยึดมั่นในความยุติธรรม จึงทรงมีรับสั่งให้มหิสสรารามกุมารและจันทกุมารเข้าป่าไปศึกษาหาความรู้และวิชาอาคม เพื่อเมื่อกลับมาแล้วจะได้ทวงราชสมบัติคืน

    สุริยกุมาร เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองเตรียมตัวเข้าป่า ก็รู้สึกว่าการกระทำของมารดาไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจขอตามพี่ชายทั้งสองเข้าไปอยู่ในป่าด้วย

    เมื่อโอรสทั้งสามออกเดินทางร่วมกัน สุริยกุมารซึ่งยังเยาว์วัย ได้รับมอบหมายให้ไปหาน้ำดื่ม เขาได้พบสระน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่ง และด้วยความไร้เดียงสา จึงลงไปดื่มน้ำโดยไม่รู้ว่าในสระนั้นมีนางผีเสื้อน้ำอาศัยอยู่ นางผีเสื้อน้ำตนนี้ดำรงชีวิตด้วยการกินเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ แต่ท้าวเวสสุวรรณได้มีเทวบัญชาบังคับไม่ให้ทำอันตรายผู้ที่รู้ "เทวธรรม" นางผีเสื้อน้ำจึงถามสุริยกุมารว่า "เทวธรรม" คืออะไร แต่สุริยกุมารตอบผิดไปว่าคือพระจันทร์กับพระอาทิตย์ นางผีเสื้อน้ำไม่เชื่อ จึงจับสุริยกุมารขังไว้เป็นอาหาร

    จันทกุมารตามมาถึงสระน้ำ และก็ถูกนางผีเสื้อน้ำถามคำถามเดียวกัน จันทกุมารตอบไปว่าคือทิศทั้งสี่ ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิดเช่นกัน จึงถูกจับขังไว้อีกคน

    มหิสสรารามกุมารผู้พี่ใหญ่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเดินมาถึงสระน้ำอย่างระมัดระวัง และรู้ว่าสระนี้ต้องมีอันตราย นางผีเสื้อน้ำพยายามหลอกล่อให้เขาลงไปดื่มน้ำ แต่มหิสสรารามกุมารทรงปัญญา จึงถามว่านางเป็นใครและจับน้องของตนไปใช่หรือไม่ เมื่อนางผีเสื้อน้ำยอมรับ มหิสสรารามกุมารจึงขอให้นางจัดที่นั่งให้สูงกว่าพื้น และพนมมือฟังด้วยความเคารพ ก่อนที่ตนจะอธิบายว่าเทวธรรมคืออะไร

    มหิสสรารามกุมารได้อธิบายว่า เทวธรรม คือ ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ซึ่งประกอบด้วย หิริ และ โอตตัปปะ หิริ คือ ความละอายต่อบาป ละอายที่จะคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่วด้วยตนเอง ส่วน โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป เช่น กลัวตกนรก หรือกลัวการถูกตำหนินินทา

    นางผีเสื้อน้ำเมื่อได้ฟังก็เข้าใจและเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงอนุญาตให้มหิสสรารามกุมารดื่มและใช้น้ำในสระได้ตามต้องการ แต่จะคืนน้องชายให้เพียงคนเดียวเพราะตนอดทนหิวมานาน มหิสสรารามกุมารจึงขอสุริยกุมารน้องคนเล็กคืน นางผีเสื้อน้ำประหลาดใจที่เขาไม่เลือกพี่ชายคนโตที่มีอายุมากกว่าและมีคุณธรรมสูงกว่า แต่กลับเลือกน้องคนเล็กที่ไม่ได้เกิดจากมารดาเดียวกัน มหิสสรารามกุมารจึงอธิบายว่า นี่แหละคือเทวธรรม เพราะหากไม่พาสุริยกุมารกลับไป ผู้คนอาจจะตำหนิว่าพี่น้องร่วมกันฆ่าน้องเพื่อหวังในราชสมบัติ

    นางผีเสื้อน้ำชื่นชมในปัญญาและการปฏิบัติเทวธรรมของมหิสสรารามกุมารเป็นอย่างยิ่ง จึงคืนน้องชายให้ทั้งสองคน มหิสสรารามกุมารยังได้เตือนนางผีเสื้อน้ำให้เลิกกินเลือดกินเนื้อของผู้อื่น เพื่อที่จะได้พ้นจากบาปกรรมที่สร้างไว้ในชาติปางก่อน

    หลังจากนั้น ทั้งสามกุมารและนางผีเสื้อน้ำก็อาศัยอยู่ร่วมกันในป่า จนกระทั่งวันหนึ่ง มหิสสรารามกุมารสังเกตเห็นดาวนักขัตฤกษ์มัวหมอง จึงทราบว่าพระราชบิดาได้เสด็จสวรรคตแล้ว ทั้งสามกุมารจึงพานางผีเสื้อน้ำกลับเมืองด้วย เมื่อกลับถึงเมือง มหิสสรารามกุมารก็ได้จัดที่อยู่และอาหารให้นางผีเสื้อน้ำใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และสนับสนุนให้บำเพ็ญศีลภาวนาเพื่อพ้นจากบาปกรรม มหิสสรารามกุมารได้ขึ้นครองราชสมบัติ และทรงแต่งตั้งจันทกุมารเป็นมหาอุปราช ส่วนสุริยกุมารเป็นเสนาบดี

    ในชาตินี้ พระภิกษุเจ้าสำอางที่ยังไม่ละกิเลสในตอนต้นเรื่องนั้น คือนางผีเสื้อน้ำในอดีตชาตินั่นเอง ส่วนสุริยกุมารได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ จันทกุมารได้มาเกิดเป็นพระสารีบุตร และมหิสสรารามกุมารคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดกนี้สอนว่า คนดีที่อดกลั้นความชั่ว ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ และตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ท่านเรียกว่าผู้มีธรรมของเทวดา.

    Wed, 16 Jul 2025 - 14min
  • 426 - เกฬิสีลชาดก พระลกุณฏกภัททิยะ ชาดกว่าด้วย ปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย

    ในดินแดนที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า พระลกุณฏกภัททิยเถระ ท่านเป็นที่เลื่องลือในพระพุทธศาสนาด้วยเสียงอันไพเราะ และเป็นผู้แสดงธรรมได้อย่างลึกซึ้งจับใจ ผู้คนต่างยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ผู้แตกฉานในปัญญา

    แต่ถึงกระนั้น พระเถระรูปนี้กลับมีร่างกายที่เล็กจ้อย เตี้ยกว่าพระภิกษุรูปอื่นมากนัก จนบางครั้งก็ดูคล้ายสามเณรน้อย ทำให้ท่านมักถูกภิกษุรูปอื่นล้อเลียนอยู่เสมอ

    วันหนึ่ง ขณะที่พระลกุณฏกภัททิยเถระยืนอยู่ที่ซุ้มประตูพระวิหาร มีหมู่ภิกษุชาวชนบทราว 30 รูปเดินทางมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อพวกเขาเห็นพระเถระตัวเล็กอยู่ที่ประตู ด้วยความคึกคะนองและเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นสามเณรน้อย พวกเขาจึงพากันแกล้งท่าน จับชายจีวรบ้าง มือบ้าง ศีรษะบ้าง จมูกบ้าง หูบ้าง แล้วก็เขย่าตัวท่าน พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “เจ้าเณรน้อย มานี่สิ!” หรือ “เจ้าเณรนี่หน้าแก่จัง!” สร้างความอับอายให้พระเถระไม่น้อย

    เมื่อแกล้งจนพอใจแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระศาสดาทรงปฏิสันถารอย่างเมตตา แล้วพวกเขาก็ทูลถามถึงพระลกุณฏกภัททิยเถระผู้มีชื่อเสียงด้านการแสดงธรรมอันไพเราะ ว่าท่านอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “ภิกษุที่พวกเธอเห็นที่ซุ้มประตู แล้วพวกเธอแกล้งด้วยความคึกคะนองนั้นนั่นแหละ คือ พระลกุณฏกภัททิยเถระ

    ได้ยินดังนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าพระเถระผู้ยิ่งใหญ่จะมีรูปร่างเล็กเตี้ยเช่นนั้น จึงกราบทูลถามพระพุทธองค์ถึงสาเหตุ พระศาสดาตรัสว่า “ที่ท่านเป็นเช่นนั้น เพราะอาศัยกรรมที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต” แล้วพระองค์ก็ทรงเล่านิทานจากอดีตกาลให้ฟังว่า:

    นานมาแล้ว ครั้งที่ พระเจ้าพรหมทัต ทรงครองราชย์ในกรุงพาราณสี พระองค์มีนิสัยประหลาด ชอบความสนุกสนาน และไม่ชอบเห็นสัตว์หรือคนแก่ชรา ถ้าพระองค์ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นม้าแก่ โคแก่ หรือแม้แต่เกวียนเก่า ๆ พระองค์จะสั่งให้พวกมันวิ่งแข่งกันจนเหนื่อยล้า หรือเกวียนก็พังไปเลย ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสั่งให้หญิงชรามาถูกกระแทกท้องให้ล้มลงแล้วลุกขึ้นร้องเพลง หรือให้ชายชรามาหกคะเมนตีลังกาเพื่อความบันเทิง หากได้ยินข่าวว่าบ้านใดมีคนชรา พระองค์ก็จะเรียกตัวมาบังคับให้แสดงสิ่งต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานของพระองค์

    การกระทำของพระราชาผู้นี้สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนและสัตว์เป็นอย่างมาก จนชาวเมืองต้องแอบส่งพ่อแม่ผู้เฒ่าของตนไปอยู่ต่างแคว้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทรมาน ทำให้ขาดการดูแลบุพการี เหล่าข้าราชบริพารของพระราชาก็ไม่ห้ามปราม แถมยังพึงพอใจกับการเล่นสนุกนี้ด้วยซ้ำ ด้วยกรรมชั่วนี้ เมื่อตายไป พวกเขาจึงไปเกิดในอบายภูมิ ทำให้จำนวนเทพบุตรในสวรรค์ลดน้อยลง

    ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพ (ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติ) ทรงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงตรวจดูและทรงทราบสาเหตุ ท้าวสักกะดำริว่าจะต้องสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัตให้สำนึกในความผิด

    ในวันหนึ่งซึ่งมีงานมหรสพ ท้าวสักกะจึงแปลงกายเป็นชายชราคนหนึ่ง แบกตุ่มน้ำมันสองใบใส่เกวียนเก่า ๆ ที่เทียมด้วยโคแก่สองตัว พระองค์ขับเกวียนไปขวางหน้าช้างทรงของพระเจ้าพรหมทัตที่กำลังเสด็จผ่าน พระเจ้าพรหมทัตเห็นเข้าก็สั่งให้ทหารไปนำตัวชายชราและเกวียนมา แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ของท้าวสักกะ มีเพียงพระราชาเท่านั้นที่มองเห็นเกวียนนั้นได้

    ทันใดนั้น ท้าวสักกะก็ขับเกวียนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหนือเศียรของพระเจ้าพรหมทัต แล้วทุบตุ่มน้ำมันให้แตก ทำให้น้ำมันไหลเลอะเทอะราชรถและพระวรกายของพระราชาจนเปรอะเปื้อน เหนียวเหนอะหนะและน่าขยะแขยง สร้างความอับอายยิ่งนัก

    จากนั้น ท้าวสักกะก็หายไปในอากาศ แล้วปรากฏกายเป็นจอมเทพท้าวสักกะดังเดิม ยืนอยู่บนอากาศ แล้วตรัสสอนพระเจ้าพรหมทัตว่า “ดูก่อนพระราชาผู้ชั่วช้า! ท่านเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราอยู่เสมอ ท่านไม่คิดเลยหรือว่าท่านจะต้องแก่บ้าง? ความชราจะไม่มาถึงกายท่านเลยหรือไร? ท่านมัวแต่เห็นแก่สนุก ทำร้ายคนแก่มากมาย ทำให้ลูกหลานไม่สามารถดูแลพ่อแม่ของตนได้ หากท่านไม่หยุดการกระทำเช่นนี้ เราผู้เป็นจอมเทพจะทำลายท่านด้วยวชิราวุธ! นับแต่นี้ไป ท่านจงอย่าทำกรรมชั่วนี้อีกเลย!”

    พระเจ้าพรหมทัตทรงหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง กราบทูลขอชีวิต ท้าวสักกะทรงชูวชิราวุธขึ้น เพื่อให้พระราชาตกใจ แล้วจึงทรงสอนถึงคุณของบิดามารดา และผลบุญของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้สูงอายุ จากนั้นจึงเสด็จกลับวิมานไป

    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าพรหมทัตก็ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนสัตว์แก่หรือคนชรามาเล่นสนุกอีกเลย

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงเล่านิทานจบแล้ว พระองค์ตรัสเตือนเหล่าภิกษุว่า “หงส์ก็ดี นกกระเรียนก็ดี ช้างก็ดี ฟานก็ดี ย่อมกลัวราชสีห์ทั้งนั้น จะถือเอาร่างกายเป็นประมาณไม่ได้ ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าแม้เด็กมีปัญญาก็เป็นผู้ใหญ่ได้ คนโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โตก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้”

    Tue, 15 Jul 2025 - 13min
Afficher plus d'épisodes

Podcasts similaires à นิทานชาดก