Filtrer par genre
ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติ
- 787 - การปรับจิตเข้าสู่ฐาน วัดบุปผาราม วรวิหาร 27 เม.ย. 67
คอร์สเก็บบัลลังก์ 27-28 เมษายน 2567 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
Sat, 27 Apr 2024 - 47min - 786 - สาระธรรมวันพระ วัดบุปผาราม วรวิหาร 23 เม.ย. 67
เทศน์วันพระ โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร วันอังคารที่ 23 เมษายน 2567
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
อสาเร สารมติโน สาเร จาสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา
ผู้ที่มองในสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระว่ามีสาระ มองในสิ่งที่เป็นสาระว่ามีไม่มีสาระ คนเหล่านั้นจะอยู่กับความคิดผิดตลอดเวลา เวลาเรามองอะไรที่ไม่มีสาระหรือมันไร้สาระ อย่างที่เรามองเห็นคนอื่น ไม่ได้มองเห็นตัวเอง เรามองคนบางคนที่ทำในสิ่งที่ไร้สาระมาก อีกทั้งเป็นโทษกับตนเอง เป็นสิ่งซึ่งทำแล้วเป็นอุปสรรคต่อคนในครอบครัว ทำร้ายทั้งสุขภาพร่างกาย ชีวิตจิตใจ สังคม แต่เขาทำได้เฉยๆสบายๆ ถ้าเรายืนอยู่ข้างนอกเราก็มองเขาว่า ทำไมต้องไร้สาระอย่างนี้ ทำไมมองแบบนี้ เวลาเรามองเขา เราจะเห็นได้เลยว่า เขามองสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ คือ ทำสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระนั้นมาเป็นสาระของชีวิต เราก็กลับมาดูเราเอง แม้แต่ตัวเราเอง ดูด้วยใจที่เป็นกลาง มองไปที่ตัวของเราเองว่า ทุกวันนี้กิริยาชีวิตของเราตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ มีกิริยาชีวิตเกิดขึ้นเยอะมาก และดูเอาเถิดว่า กิริยาไหนที่ไม่เป็นสาระแต่เราก็ทำ หวังไว้ว่ามันจะเป็นสาระทั้งๆที่มันไม่เป็นสาระ เราก็ดูได้ กลับมาตรวจสอบตัวของเราว่า อะไรที่ไม่เป็นสาระแล้วเรายังเลือกทำอยู่ให้หยุดสิ่งนั้นไป
ดูสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระก็เกิดขึ้นได้ เราจะเห็นว่าคนบางคน อะไรดีๆที่มี เช่น บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ บูรพาจารย์ สิ่งดีๆที่ท่านทำต่อเนื่องกันมาเรื่อยเป็นสาระ แต่พอมาถึงรุ่นเรา บางคนกลับมองว่าไม่เป็นสาระ ไม่ทำ ไม่เอาเยี่ยงอย่าง อย่างประเทศเรา บรรพบุรุษตั้งแต่การตั้งประเทศมาจนถึงบัดนี้ แน่นอนว่ามันก็มีสิ่งไม่ดีบ้างมีสิ่งดีบ้าง แต่สิ่งดีๆหลายอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาจนเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ เช่น วันสงกรานต์ กำลังถูกมองว่าไม่เป็นสาระ เพราะว่าเข้าไปไม่ถึง นี่เรียกว่ามองสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ คือ อะไรดีๆที่มีอยู่แต่เดิมทิ้งไปหมด ประเพณีวัฒนธรรมของบ้านเราที่มีอยู่แต่เดิมนั้น ล้วนแต่เป็นการปลูกฝังคุณธรรม เช่น ความกตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์สุจริต พอเราทำลายประเพณีวัฒนธรรมเหล่านี้ออกไปหมด ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ ปรับเปลี่ยน แปรเปลี่ยนจากเป็นวัฒนธรรมที่ว่าส่งเสริมคุณธรรม กลับกลายเป็นความรื่นเริง บันเทิง สนุกสนาน เฮฮา แล้วก็เมากัน ดื่มกัน อันนี้เรียกว่าดูสิ่งที่เป็นสาระแบบไม่เป็นสาระ
เราก็น้อมมาดูที่ตัวเราด้วยว่าอะไรที่เป็นสาระแล้วเราละเมิด เราปล่อยผ่าน มีอะไรบ้าง เราหันกลับมาเพื่อเข้าหาสิ่งที่เป็นสาระนั้นใหม่ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มาปรับเปลี่ยน ตั้งต้นใหม่เพื่อเข้าหาสิ่งที่เป็นสาระให้เป็นสาระ แล้วก็ทำตามนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ที่เห็นสิ่งซึ่งเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ หรือเห็นสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ อันนี้เป็นความเห็นผิด ท่านบอกว่า มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ผู้นั้นจะมีความคิดผิดอยู่บนวิถีชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไรจะผิดพลาดตลอด เพราะว่าแกนของชีวิตไม่ได้เดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง คือ จิตจะท่องไปกับความคิดผิดแทบทุกเรื่อง แล้วก็มีความคิดผิดนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ผลจึงเกิดขึ้นกับผู้นั้นทันที คือ เป็นผู้ที่ล้มเหลวไร้ซึ่งความเป็นแก่นสารของชีวิต จะแตกต่างจากผู้ที่เห็นสิ่งสาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ คนเหล่านั้นจะคิดอะไรวางแผนอะไร จะมีแก่นสารและมีรากฐาน มีเป้าหมาย มีความเป็นไปได้ และจะมุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้น ตรงต่อความสำเร็จนั้น
เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็ได้แสดงถึงเรื่องของ การเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ อันนี้เรียกว่าเป็นความเห็นผิด เป็นความคิดผิด และความเห็นนี้จะเกาะกินใจของเราและทำให้เรามีความคิดผิดตลอดเวลา จิตใจของเรา ชีวิตของเราหมุนไปตามความคิด ถ้าความคิดมีความเห็นผิดตลอดก็จะเดินผิดอยู่เรื่อยๆ มีต้นทุนเท่าไรก็ไม่เพียงพอต่อการที่จะแสวงหาประโยชน์อันแท้จริงของชีวิตได้ ท่านถึงบอกว่าให้ปรับเปลี่ยนใหม่ ดูสิ่งที่เป็นสาระโดยความเป็นสาระ สิ่งที่ไม่เป็นสาระก็ดูให้เห็นโดยความที่ไม่เป็นสาระ ผู้ใดที่จิตใจเห็นสิ่งเป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระแล้ว ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ชื่อว่า สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา เรียกว่า จิตมีการท่องไปสู่ความคิดที่ถูกต้องเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใดจะถูกต้องเสมอ ความคิดที่ถูกต้องอันเนื่องมาจากการเห็นอย่างถูกต้องนั้น จะนำพาชีวิตของผู้นั้นให้สำเร็จในเป้าหมายทั้งหมดที่ตนตั้งไว้ได้
Tue, 23 Apr 2024 - 20min - 785 - ใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย วัดบุปผาราม วรวิหาร 21 เม.ย. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณอาจารย์พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) บรรยายธรรม แก่ คณะเจ้าภาพนักปฏิบัติกลุ่มเรียนรู้ออกจากทุกข์ งานบำเพ็ญอุทิศกุศล แด่ครูอาจารย์และผู้ล่วงลับประจำปี ณ วัดบุปผาราม วันที่ 21 เมษายน 2567
มรรคที่เราจะเดินในชีวิตประจำวันได้นั้นต้องมีพระรัตนตรัย เมื่อมีฉันทะในพระรัตนตรัย ใจจะน้อมเข้าไปด้วยคุณสมบัติ 2 อย่าง
- กามวิเวก ไม่ตกอยู่ในอำนาจของความปรารถนา อกุศลวิเวก หลีกออกจากอกุศลโดยอัตโนมัติ
ถ้าใจมีกามวิเวกและอกุศลวิเวกเป็นคุณสมบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นทันทีพร้อมๆกัน นี่คือการแนบสนิทชิดกับพระรัตนตรัย
วิธีที่จะดูว่าเราใกล้ชิดกับพระรัตนตรัยไหม ให้สังเกตไปที่ใจของเราว่ามีสิ่งเหล่านี้
1) อนภิชฺฌาลุ วิหเรยฺย อยู่โดยความไม่เล็ง ความอยากที่งอกออกมาจากความโลภปกติ โลภที่งอกออกมานั้นเป็นเหตุให้การทำงานนั้นทุจริต
2) อพฺยาปนฺเนน เจตโส มีใจไม่พยาบาท โกรธปกติมีทุกคน แต่ไปถึงการที่จะทำร้ายกัน เบียดเบียนกันมันหยุด ที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มันไม่ใช่ความโกรธแล้ว มันงอกออกมาจากความโกรธ เรียก พยาบาท ถ้ามียังห่างพระรัตนตรัย วิธีคือแก้มันเสียด้วยการให้เห็นโทษของมัน ด้วยการทำโยนิโสมนสิการ ปลดเปลื้องมันออกไป ทุกคนมีลักษณะเฉพาะของเขา เห็นจนมันเป็นธรรมดา ใจก็จะคลายออกมา ปลงใจยอมรับได้
3) สโต มีสติ ดูตรงที่อายตนะกระทบกับโลก สิ่งใดก็ตามที่มากระทบ ใจเข้าไปรับรู้ แล้วใจไหลเข้าไปตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ แล้วก็ปรุงแต่งชุ่มแช่ออกไป ให้พึงรู้ไว้เลยว่า นั่นคือการไม่มีสติ การมีสติคือ มีความรู้สึกได้ สติจะทำหน้าที่กั้นใจไม่ให้ไหลออกไปในอารมณ์นั้นทันที
พึงเข้าใจด้วยว่า สติเป็นเพียงธรรมที่เกิดและดับในขณะจิต แต่สติจะเกิดกับจิตที่มีความตั้งมั่น จิตที่มีความตั้งมั่นแล้วมีสติแลอยู่ เมื่อมีอะไรมากระทบ ตัวที่จะเข้าไปเพื่อดูต่อสิ่งที่กระทบนั่นคือสติ มันเกิดแล้วก็ดับ จึงเรียกสติว่าเป็นเจตสิก เมื่อดับจะนำดอกผลที่ไปเสวยอารมณ์กลับมาสู่ภวังคจิต เพื่อที่จะให้เป็นวิบากของขณะจิตต่อไป ถ้าหลง กำลังของหลงก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าโกรธ กำลังของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้น จึงต้องมีความตั้งมั่นของจิต
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เอกายโน อยํ มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยาโสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย
ช่องนี้ช่องเดียวเท่านั้น เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความล่วงแห่งทุกข์และโสกปริเทวะ เพื่อความดับแห่งทุกข์กายทุกข์ใจ เพื่อการเข้าถึงความรู้อันสูงสุด เพื่อการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ช่องนี้คือสติปัฏฐาน ให้สติมีฐานเป็นที่ตั้ง และฐานที่จะเป็นที่ตั้งของสติก็คือกายใจแท้ๆนี้ อย่างอื่นไม่ได้ ถ้ากายใจแท้ๆเป็นฐานให้กับสติเมื่อใด สติที่เข้าไปแลดูอาการกายอากายใจแต่ละขณะ สตินั้นเรียกว่า สติปาริสุทธิ เป็น สติที่บริสุทธิ์ ทุกครั้งสติบริสุทธิ์เกิดขึ้นในหนึ่งขณะจิตแล้วดับไป จะตกเป็นความตั้งมั่นให้กับจิต เป็นความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ ความตั้งมั่นเมื่อมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เรียก อุเบกขาสติปาริสุทธิ 4) เอกคฺคจิตฺตสฺส อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต ความที่แห่งจิตมีอารมณ์อันเดียวอันเป็นภายใน ก็คือกายกับใจแท้ๆนี้ กายที่ไม่มีชื่อไม่มีสกุล ไม่มีเพศ ไม่มีวัย ไม่มีฐานะ ถ้าเราฝึกให้จิตมีประสบการณ์ตรงกับการที่มีอารมณ์อันเดียวอันเป็นภายในบ่อยๆ จะแตกดอกออกผลขึ้นมาข้างบนทั้ง 3 ตัวเลย เมื่อทำบ่อยๆจนชำนาญ
เวลากิเลสทำกับเราในสังสารวัฏที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ กิเลสทำกับเราสาหัสมาก ทำบ่อยๆ โกรธบ่อยๆ หลงบ่อยๆ เพลิดเพลินบ่อยๆ ไม่พอใจบ่อยๆ ดีใจบ่อยๆ เสียใจบ่อยๆ แล้วเราก็สั่งสมบ่มมันมาเรื่อยๆ จนเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครั้นเราจะมาสู้กับเขา ที่พระพุทธเจ้าบอก เราก็ต้องสู้อย่างนี้ เราก็ทำเหมือนที่มันทำกับเรานั่นแหละ แต่คนละขั้ว พลิกคนละข้าง ถ้าไม่พลิก เราจะสู้กับมันไม่ได้ แม้บางครั้งเราบอกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่เราอยู่ในขั้วของมัน อวิชชาก็นั่งยิ้ม เพราะว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือกายใจรูปนามนี้ มันมีอวิชชาตีกรอบอยู่ แล้วปัญญาอยู่ข้างนอก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของอวิชชา แม้นเราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อวิชชาก็นั่งยิ้ม อ้วนพีอยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นจงดูบริบทที่มันมีรายละเอียดปลีกย่อยที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ ให้กับท่าน 4 ประการ
อนภิชฺฌาลุ วิหเรยฺย อพฺยาปนฺเนน เจตสา
สโต เอกคฺคจิตฺตสฺส อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต
ไม่เล็ง มีใจไม่พยาบาท มีสติ ฝึกให้จิตมีประสบการณ์กับการมีอารมณ์อันเดียว
อย่างนี้เรียกว่าเราได้แนบสนิทใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย
Sun, 21 Apr 2024 - 37min - 784 - การพัฒนาความสงบให้กับชีวิตและนำภาวนา ศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี 12 เม.ย. 67 (2/2)Mon, 15 Apr 2024 - 45min
- 783 - การพัฒนาชีวิต ศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี 12 เม.ย. 67 (1/2)Sun, 14 Apr 2024 - 1h 52min
- 782 - ตัวรู้ดูการเกิดดับของอกุศล - อานาปานสติ ครั้งที่ 95 (7 เม.ย. 67 3/3)
อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 95 โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) วัดบุปผาราม วรวิหาร วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์
รู้กับเรา
เรื่องสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ
สตฺถา ปากฏีภูตํ อิทานิ อิมสฺส ภิกฺขุโน กมฺมฏฺฐานนฺติ ญตฺวา
Sat, 13 Apr 2024 - 56min - 781 - นำปฏิบัติและท่าทีที่ถูกต้องในการเดินจงกรม - อานาปานสติ ครั้งที่ 95 (7 เม.ย. 67 2/3)Fri, 12 Apr 2024 - 52min
- 780 - ท่าทีที่ถูกต้องของการปฏิบัติธรรม - อานาปานสติ ครั้งที่ 95 (7 เม.ย. 67 1/3)
อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 95 โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) วัดบุปผาราม วรวิหาร วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์
เรื่องสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ
สตฺถา ปากฏีภูตํ อิทานิ อิมสฺส ภิกฺขุโน กมฺมฏฺฐานนฺติ ญตฺวา
Thu, 11 Apr 2024 - 2h 00min - 779 - เข้าสู่ร่องรอยของพระตถาคต วัดสังฆทาน 1 เม.ย. 67Fri, 05 Apr 2024 - 1h 14min
- 778 - การปฏิบัติธรรม วัดสระกะเทียม 30 มี.ค. 67Thu, 04 Apr 2024 - 2h 05min
- 777 - ปัจฉิมนิเทศ โยนิโสมนสิการ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 17/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร โยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจแยบคายต่อธรรมชาติที่ปรากฏ ถอยจิตนิ่งรู้กลับไปที่ฐาน แล้วทำมนสิการ พิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏ มองให้เห็นความเป็นจริงชั้นสูงสุด คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ย้อนกลับมาถึงรูปนาม สิ่งที่ฝากไว้ของคอร์สนี้ 1. นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระที่ฐาน ดู ณ ขณะจิตแรกที่เราสงบกาย ให้เขารู้ลมหายใจคลอรู้ไปก่อน 2. สติทำงานเป็นขณะๆ จบเป็นขณะๆ 3. จิตรู้นิ่งเฉยอยู่ที่ฐาน สามารถรู้การเคลื่อนไหวของกายได้โดยที่ไม่ต้องหลุดออกจากฐาน ถ้าตั้งมั่รไม่พอจะชำเลือง แต่ถ้าตั้งมั่นพอก็จะเท่าทัน 4. โยนิโสมนสิการ ควบคู่ไปกับอาการ 32 5. การทำวัตร จะฝึกให้เราใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย 6. หนังสือ นวโกวาท
Mon, 25 Mar 2024 - 1h 13min - 776 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 8 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 16/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sun, 24 Mar 2024 - 36min - 775 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 7 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 15/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sun, 24 Mar 2024 - 35min - 774 - สังสารวัฏในสายของอวิชชา - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 14/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร มโนธาตุอยู่นอกขันธ์ 5 แต่อยู่ในนาม ไปอาศัยกาย อาศัยอายตนะในการเข้าไปเสพอารมณ์ กรณีที่ยังไม่เสพอารมณ์ใดๆเลย มันนิ่งอยู่ ก็อยู่ที่ภวังคจิต เราเรียกว่าภพ เมื่อแต่ละขณะจิตเสวยอารมณ์ก็ตกอยู่ใน กามาวจรจิต/รูปาวจรจิต/อรูปาวจรจิต การเกิดดับแต่ละขณะจิตเป็นวิบากส่งผลเป็นลำดับไป มโนธาตุ (ยังไม่มีความรู้ความจำความเชื่อ) > ภวังคจิต > ปฏิสนธิจิต แค่รู้ ไม่ใช่เอาหรือไม่เอา ไม่เอาก็ยังเป็นความคิด ไม่สามารถดับทุกข์ได้
Sun, 24 Mar 2024 - 59min - 773 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 6 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 13/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sun, 24 Mar 2024 - 17min - 772 - เครื่องร้อยรัด 7 ประการ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 12/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร เครื่องผูก หรือเครื่องร้อยรัด 7 ประการ 1. อนุนยสัญโญชนานิ ความยินดี 2. ปฏิฆสัญโญชนานิ ความยินร้าย 3. ทิฏฺฐิสัญโญชนานิ ความเห็นผิด 4. วิจิกิจฉาสัญโญชนานิ ความสงสัย 5. มานสัญโญชนานิ ความถือตัวถือตน 6. ภวราคสัญโญชนานิ ตัวที่ข้องอยู่ในภพ 7. อวิชชาสัญโญชนานิ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 พระพุทธเจ้าจึงให้รู้ลม ให้ความตั้งมั่นมีกำลัง เครื่องผูกก็จะรัดรึงเราไม่ได้ เมื่อเราสงบกาย จิตจะสงบทันที เพราะเราไม่ได้เข้าไปทำอะไร ญาณทัศนะเกิดขึ้นทันทีที่มีสติแลอยู่
Sun, 24 Mar 2024 - 45min - 771 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 4 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 9/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sat, 23 Mar 2024 - 30min - 770 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 5 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 11/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sat, 23 Mar 2024 - 38min - 769 - ความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 10/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sat, 23 Mar 2024 - 1h 21min - 768 - คุณค่าของขณะจิตที่เป็นปัจจุบัน - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 8/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sat, 23 Mar 2024 - 1h 00min - 767 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 3 นิ่งรู้เฉยอยู่ที่ฐาน - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 7/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Sat, 23 Mar 2024 - 24min - 766 - แค่รู้แค่ดู - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 6/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร อาการที่ไม่เห็นลมคือเรากำลังเข้าไปแทรกแซงสภาวะ
Sat, 23 Mar 2024 - 35min - 765 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 2 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 5/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Fri, 22 Mar 2024 - 32min - 764 - พลิกจากอวิชชาเป็นวิชชา - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 4/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Fri, 22 Mar 2024 - 28min - 763 - นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 3/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Fri, 22 Mar 2024 - 1h 12min - 762 - พัฒนาตัวรู้ นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 1 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 2/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
Fri, 22 Mar 2024 - 51min - 761 - ปฐมนิเทศ การฝึกตัวผู้รู้ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 1/17)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร การฝึกตัวรู้ คือ ดูกายดูใจ รู้นอกรู้ใน รู้นอก รู้ตามความเป็นจริง รู้ตรงๆในขณะจิต รู้ว่าคิด อย่าไปปรุง ตรง ชัด จริง จบ รู้ใน คือ ถอยกลับมาเอาตัวรู้ดู องฺคณ(อังคะณะ) คือ กิเลสที่เป็นเนินออกมา หมายถึง ความโกรธ (โกป) และความไม่แช่มชื่น (อปฺปตีต) สิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องดูภายใน อิจฺฉาวจรฺ อาการของจิตที่ท่องไปกับความปรารถนา คาดหวัง โกโป ความกำเริบของจิต โมโห อึดอัด อปฺปติโต ความไม่แช่มชื่น
Fri, 22 Mar 2024 - 1h 03min - 760 - ปฏิจจสมุปบาท (3/3) พลิกอวิชชาเป็นวิชชา วัดสระกะเทียม 19 มี.ค. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร บรรยายธรรมหัวข้อ "ปฏิจจสมุปบาท" ให้แก่คณะสงฆ์ผู้มาอบรม ในโครงการฝึกอบรม พระคณาจารย์ด้านกรรมฐานทุนเล่าเรียนหลวง ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ วัดสระกะเทียม นครปฐม วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗
อานาปานสตินั้นเมื่ออบรมแล้วทำให้มากแล้ว จะถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติ อานาปานสตินั้นจะเป็นทางแห่งโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการ อานาปานสติ คือ ลมหายใจอย่างเดียวได้ทุกอย่าง
พระสารีบุตรท่านขยายความไว้ว่า ทีฆํ อสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตา อวิกฺเขโป สมาธิ แปลว่า ความที่แห่งจิตมีอารมณ์อันเดียวด้วยอำนาจแห่งลมหายใจออกยาว ไม่กระสับกระส่าย เป็นสมาธิ คือ เป็นความตั้งมั่น เพราะฉะนั้นตัวรู้ที่ตรงเข้าไปสู่ลมกระทบที่ออก ลมกระทบที่เข้า ตั้งแต่ต้นลม กลางลม ปลายลม จนสุดลมหายใจออก จบ สติที่เกิดขึ้น เกิดสติเป็นเจตสิก มันเกิดแล้วก็ดับ เมื่อมันตรง จิตผู้รู้ที่เข้าไปรู้ เป็นสติ สติที่เข้าไปรู้ เป็นสติปาริสุทธิ เป็นสติบริสุทธิ์ สติบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นทุกขณะ จะบ่มความตั้งมั่นให้กับจิต ความตั้งมั่นที่เกิดขึ้นจะมีกําลังให้กับตัวผู้รู้ ผู้รู้จะมีอุเบกขาเป็นวิหาระ ผู้รู้จะมีความตั้งมั่นเป็นวิหาระ มีกําลังขึ้นไปเรื่อยๆจนเรียกว่าอุเบกขาสติปาริสุทธิ ตัวรู้จะนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระอันมีอุเบกขาเป็นฐาน นี่คือตัวพลิกเกม เพราะพอรู้นิ่งเฉยอยู่ มันรู้ตรงเข้าไปสู่ลม ตัวรู้ที่รู้ตรงสู่ลม พระพุทธเจ้าบอกว่า
เป็น อนิสฺสิตแปลว่า ไม่เป็นที่อาศัยของตัณหา มานะและทิฏฐิ
เป็น อญฺญมเหฐยาน เป็นสภาวะที่ไม่ว่าร้ายใคร
เป็น น อุปวเทยฺย กญฺจิไม่ติเตียนใคร
ตัวรู้ที่ออกจากฐานตัวผู้รู้ตรงต่อลมที่กระทบ ในขณะจิตที่มันรู้ มันเป็น อนิสฺสิตเมื่อท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายเข้าใจลงใจอย่างนี้แล้ว ท่านทําหน้าที่แค่รู้ลมตรงๆให้ถูกต้องอย่างนี้ ลมกระทบออกรู้ ลมกระทบเข้ารู้ จิตจะเกิด เอวํ ตสฺส จิตฺตํ น นมติ อาตปฺปาย อนุโยคาย สาตจฺจาย ปธานาย แปลว่า จิตจะเกิดการน้อมไปเพื่อ อาตปฺปาย ความเพียรที่แผดเผา เพื่อ อนุโยคาย การประกอบบ่อยๆ เพื่อ สาตจฺจาย การยืนประกอบเนืองๆต่อเนื่อง เพื่อ ปธานาย เพื่อความตั้งมั่น ไม่เป็นไปอย่างอื่น เป็นไปเพื่ออย่างนี้ ท่านจึงไม่ต้องทําอะไร วางตัวผู้รู้ไว้บริเวณนิมิตนี้แล้วก็รู้ลมไป รู้ลมที่เป็นลมกระทบ ลมกระทบเป็นแบบไหนรู้แบบนั้น ของพระพุทธเจ้านี้ถูก ตรง จบ แต่ละขณะบ่มเป็นความตั้งมั่นขึ้นมา ความตั้งมั่นที่เกิดขึ้นนี้เป็นตัวพลิกเกม
ถ้าความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ มีกําลัง ๒๕% หมายถึง ทำให้จิตเกิดการรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งความเป็นจริงของรูปนามนี้ ด้วยกําลังของความตั้งมั่น ๒๕% เครื่องร้อยรัด ๓ ข้อขาดสะบั้น ถ้าความตั้งมั่นที่ถูกบ่มขึ้นมาจนมีกําลัง ๕๐% เครื่องร้อยรัดของจิตที่มีอยู่ ๓ ข้อขาดสะบั้น พร้อมทั้งราคะ โทสะ โมหะ จะเบาบางลง ถ้าความตั้งมั่นนี้ถูกบ่มด้วยความเพียรของท่านทั้งหลาย จนจิตเกิดการตั้งมั่นขึ้นมา ๗๕% ตัวที่รู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งกายใจนี้ตามความเป็นจริง จะทําให้เกิดการขาดสะบั้นของเครื่องร้อยรัดไป ๕ ตัว ถ้าท่านบ่มไปเรื่อยๆด้วยความเพียรอย่างต่อเนื่อง ไม่วอกแวก บ่มความตั้งมั่นจนมีกําลังอันมีความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ มีกําลังถึง ๑๐๐% เครื่องร้อยรัดทั้ง ๑๐ ตัวจะถูกกระชากออกไปด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํโสดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติอันบุคคลใดอบรมแล้วทําให้มากแล้ว ย่อมมีอานิสงส์มาก
ความตั้งมั่นที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ถูกใช้ด้วยอำนาจของอวิชชาและโมหะ พระพุทธเจ้าบอกให้ใช้สติที่บริสุทธิ์บ่มความตั้งมั่นขึ้นมา ให้ความตั้งมั่นมีกําลังอันมีสติแลอยู่ คือ ความตั้งมั่นที่บ่มด้วยสติที่บริสุทธิ์ สติที่บริสุทธิ์ คือ สติที่เข้าไปตรงสู่ลมที่เป็นจริง คือ ลมที่กระทบออก ลมกระทบเข้า ถูก ตรง จริง จบ แต่ละขณะ จึงจะตกมาเป็นความตั้งมั่นได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ไม่รู้แจ้งอันประกอบด้วยอวิชชา หรือ ผู้ที่ใช้อํานาจของอวิชชาย่อมไม่มีความรู้จึงเกิดทําให้มิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในขณะที่เราอยู่ในอํานาจของอวิชชา เรามีความเห็น มีความคิด มีการกระทํา มีการพูด มีการพยายาม มีการดํารงชีวิต มีการระลึก มีความตั้งใจ องค์ประกอบตั้งแต่ที่เคลื่อนไหวในกิริยาชีวิตอยู่ในอํานาจของอวิชชามันกลายเป็นมิจฉาไปหมดเลย แล้วท่านตรัสต่อไล่ไปเป็นลําดับ มิจฉาสังกัปปะยอมเกิดแก่ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ จนครบองค์ประกอบมรรค เพราะฉะนั้นตัวธรรมชาติสายของอวิชชานี้ ทําให้กิริยาชีวิตของเราทุกๆกิริยาเป็นมิจฉาหมด จึงไปสุดที่ทุกข์ ส่วนธรรมชาติของสายวิชชา สัมมาทิฏฐิย่อมเกิดมีขึ้นแก่บุคคลผู้รู้แจ้งด้วยอํานาจของวิชชา และสัมมาสังกัปปะย่อมเกิดมีขึ้นแก่ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ คือ ไล่เป็นองค์มรรค จะเป็นองค์ประกอบล้อกันอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติ ๒ สาย
Thu, 21 Mar 2024 - 59min - 759 - ปฏิจจสมุปบาท (2/3) โยนิโสมนสิการ วัดสระกะเทียม 19 มี.ค. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร บรรยายธรรมหัวข้อ "ปฏิจจสมุปบาท" ให้แก่คณะสงฆ์ผู้มาอบรม ในโครงการฝึกอบรม พระคณาจารย์ด้านกรรมฐานทุนเล่าเรียนหลวง ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ วัดสระกะเทียม นครปฐม วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗
ปฏิจจสมุปบาท คือ การไต่สวนมูลทุกข์ ถ้าท่านอ่านในคําภีร์ไม่ว่าเป็น วิสุทธิมรรค วิมุตติมรรค หรือ อรรถกถาต่างๆ เวลาเขียนเรื่องของปฏิจจสมุปบาท มันจะเกิดการข้ามภพข้ามชาติ ผมไม่มาเพื่อเป็นอริกับคัมภีร์ไหนนะ แต่ผมจะนำพาท่านเข้าสู่ปฏิจจสมุปบาทในฉบับที่เป็นพุทธประสงค์ ที่ท่านฟังแล้วท่านรู้สึกได้ ท่านสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาท คือ การไต่สวนมูลทุกข์ ว่ามีก้อนทุกข์ก้อนนี้ เมื่อไต่สวนมูลของมันลงไป มันไปสุดอยู่ที่อวิชชา ทุกข์ที่อยู่ในกายในใจนี้ ทุกๆสรรพทุกข์ เวลาปรากฏขึ้นมา เราไต่สวนมูลลงไป มันเป็นสุดอยู่ที่อวิชชา ถ้าจับจากอวิชชาไล่มา อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และก็ชรา พร้อมด้วยทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้น พอจับจากทุกข์ไล่มาภพ ชาติ อุปาทาน มาสุดที่อวิชชา จับจากอวิชชาก็ไปสุดอยู่ที่ทุกข์ มีเท่านี้สายนี้ ทุกๆความทุกข์ที่ท่านรู้สึกว่าท่านเป็นทุกข์ อยู่ที่รูปนามนี้มันเป็นทุกข์ ทุกข์เหล่านั้นทั้งหมดถ้าไต่สวนมูลมันลงไป มันจะไปจบสุดที่อวิชชา ไล่จากอวิชชาขึ้นมาก็จะสุดอยู่ที่ทุกข์ มันมีที่รูปนามกายใจนี้ที่นั่งตั้งนิ่งอยู่ตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมีทุกข์ไหม ทุกรูปนามนี้เป็นทุกข์หมดเลย และทุกข์ทั้งหมดไต่สวนมูลลงไปมันเป็นสุดที่อวิชชา
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ
เหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเกิดมีขึ้นได้ด้วยประการอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้ ไต่สวนมูลลงไปปั๊บเจอทุกข์อย่างนี้ แล้วทำอย่างไร ตัวที่สําคัญที่สุดคือตัวอวิชชา ที่ท่านบอกเป็นปฏิจจสมุปบาท คือว่า อาศัยการเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าท่านสามารถจะเข้าไปจุดไหนก็ได้ เข้าไปจุดผัสสะก็ได้ เข้าไปจุดเวทนาก็ได้ เข้าไปจุดอายตนะก็ได้ เข้าไปจุดไหนก็ได้ เมื่อเข้าไปแล้วจับจุดตรงนั้นให้ได้ หยุดนิ่ง ให้มันขาดสะบั้น เหมือนกับเหรียญบาทที่เป็นวงกลม เราไม่รู้ตัวไหนเป็นตัวเริ่มต้น เราก็เข้าไปจับสักจุดหนึ่งแล้วเราก็จะหยุดตรงนั้นได้ ถ้าเราหยุดที่ผัสสะ เวทนาไม่เกิด ถ้าเราหยุดที่เวทนา ตัณหาไม่เกิด ถ้าตัณหาไม่เกิด ตัณหาดับ อุปาทานดับ ภพดับ ชาติดับ อวิชชาดับ วิชชาเกิดทันที ถ้าเป็นหยุดที่ผัสสะ ผัสสะไม่เป็นปัจจัยแห่งเวทนา ถ้ารู้เท่าทันที่ผัสสะเวทนาจะไม่เกิด ไปจับอายตนะ ผัสสะไม่เกิดก็หยุดได้ ไปจับนามรูป อายตนะไม่เกิดก็หยุดได้ ไปจับวิญญาณ นามรูปไม่เกิดก็หยุดได้ ไปจับสังขาร สังขารดับ วิญญาณไม่เกิดมันก็หยุดได้ ไปจับอวิชชา อวิชชาไม่เกิด สังขารก็ไม่เกิด จับตรงไหนทุกข์จะหยุดขาดสะบั้นเลย จับได้หมดเลย หมายความว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นกลไกกระบวนการทางจิตล้วนๆ ในจิตที่ยังไม่ตาย ในนามรูปมีธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอยู่ ๑ สายแล้ว สายนี้เรียกว่าสายที่ทําให้มันเกิดความทุกข์ และอีกสายหนึ่งเมื่อจับอวิชชาได้ สายที่ทำให้ไม่ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ ที่ขึ้นต้นด้วยวิชชา เพราะอวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ อายตนะดับ ผัสสะดับ เวทนาดับ ตัณหาดับ อุปาทานดับ ภพดับ ชาติดับ ทุกข์ทั้งปวงก็ดับ ปัญหาคือว่าในธรรมชาติ ๒ สายนี้ เราดําเนินด้วยสายไหน
หลักเข้าใจสภาพจิตง่ายๆ ภวังคจิต คือ ภาวะที่จิตไม่เข้าไปเสวยอารมณ์อะไร อยู่ในกายนิ่งๆมีอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ามันเสวยอารมณ์ตลอดเวลาไม่ได้ มันเห็น เห็นเสร็จ มันจะไปได้ยินเลยไม่ได้ พอเห็นเสร็จ มันต้องกลับมาเป็นการเห็นดับนั้นก่อน เวลาการเห็นดับจิตจะกลับมาสู่ภวังคจิต พอสู่ภวังคจิตแล้วมันจึงจะไปฟัง ท่านฟังผมอยู่ สังเกตไหม มันหายไปเป็นระยะๆ เวลาทุกครั้งที่มันหายไปนั่นแหละคือมันดับ เข้าไปสู่ภวังคจิต
ภวังคจิตแต่ละขณะที่ดับจากการเสวยอารมณ์ของจิต มันจะสะสมกรรมทั้งหมดตกมาวิบากกับภวังคจิต ในขณะจิตที่เป็นปัจจุบัน พอเป็นภวังคจิตนิ่งอยู่ยังไม่ได้เสวยอารมณ์อะไร เมื่อจะออกไปเสวยอารมณ์ เรียก ปฏิสนธิจิต ปฏิเสธจิตที่กําลังจะไปจุติเกิดเป็นจิตที่เสพอารมณ์แต่ละขณะมันจะหอบกรรมไปด้วย กรรมตัวที่ไปกับปฏิสนธิจิตเราเรียกว่า ชนกกรรม พระพุทธเจ้าตรัส
กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตายาติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและปราณีตต่างกัน
กรรมตัวนี้อยู่ที่ภวังคจิตที่มันเสพเป็นวิบากตกผลึกออกมา พอจะไปเสวยอารมณ์ก็เป็นปฏิสนธิจิต และลักษณะเฉพาะที่ออกไปจากภวังคจิตไปกับปฏิสนธิจิต เรียก ชนกกรรม
Wed, 20 Mar 2024 - 1h 42min - 758 - ปฏิจจสมุปบาท (1/3) เข้าถึงกายใจแท้ๆ วัดสระกะเทียม 19 มี.ค. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร บรรยายธรรมหัวข้อ "ปฏิจจสมุปบาท" ให้แก่คณะสงฆ์ผู้มาอบรมในโครงการฝึกอบรม พระคณาจารย์ด้านกรรมฐานทุนเล่าเรียนหลวง ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ วัดสระกะเทียม นครปฐม วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗
ปฏิจจสมุปบาทเป็นความรู้ชั้นสูง ความรู้ชั้นปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นตอนไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้วปฏิจจสมุปบาทเกิดตอนไหน ปฏิจจสมุปบาทเป็นความรู้หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วทรงไล่เรียง รายละเอียดความรู้ที่พระองค์ตรัสรู้ คือ อริยสัจ ๔ เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าไล่เรียงในระยะเวลาที่เสวยวิมุตติสุขหลังจากตรัสรู้ ความรู้ในชั้นนี้เรียกปฏิจจสมุปบาท คือ อริยสัจ ๔ โดยละเอียดนั่นเอง การที่เราจะฟังหรือศึกษาปฏิจจสมุปบาท เราจะต้อง หนึ่ง ไม่หวังจนเกินไปว่าเราจะทะลุรู้แจ้ง สอง เราจะต้องไม่มองว่าปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นของลึกของยาก
ปฏิจจสมุปบาท คือ เรื่องราวที่จะแจ้งให้กับเรารู้ว่า ธรรมชาติของชีวิต ชีวิตของเราที่กําลังเดินอยู่นี้ ชีวิตของท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้ มีธรรมชาติเคลื่อนไหวอยู่ในชีวิต ๒ สาย เรากําลังจะศึกษาสิ่งที่ เป็นสัจจะอันเป็นความรู้ชั้นสูงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นความจริงที่มีอยู่ในกายใจนี้ ต้องไม่ลืมว่าปฏิจจสมุปบาท คือ ความจริงชั้นสูงก็จริงแต่เป็นความจริงที่มีอยู่ในกายใจนี้ ในกายใจของท่านที่นั่งอยู่นี้ และเราจะเข้าไม่ถึงความรู้นี้เลยถ้าเราหลงอยู่กับกายใจนี้ อะไรเป็นเครื่องบอกให้รู้ว่าเรากําลังหลงอยู่กับกายใจนี้ ก็คือนิสัยสันดานที่เป็นอัตลักษณ์ของท่านทั้งหลายที่มีแต่ละรูปแต่ละนาม นิสัยสันดานที่เป็นอัตลักษณ์ที่มีอยู่ในรูปนามนั้นแต่ละรูปนามเป็นเครื่องมือสัญญาณที่จะบอกให้รู้ว่า เรากําลังหลงอยู่ในรูปนามนี้อยู่ และเมื่อใดที่เราหลงอยู่ในรูปนามนี้ เราจะเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทไม่ได้
ในชีวิตของเรามีธรรมชาติ ๒ สายที่เคลื่อนไหวอยู่
ธรรมชาติสายที่ ๑ ที่เคลื่อนไหวอยู่ ธรรมชาติสายนี้เมื่อเคลื่อนไหวแล้วจะเป็นสุดที่ทุกข์ ธรรมชาติสายนี้เรียกว่า สมุทยทวาร
ธรรมชาติสายที่ ๒ เคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน ธรรมชาติสายนี้เมื่อเคลื่อนไหวแล้ว จะไปสุดอยู่ที่ความพ้นทุกข์ ธรรมชาติสายนี้ เรียกว่า นิโรธทวาร
Wed, 20 Mar 2024 - 1h 05min - 757 - ดูอกุศลวิตกในจิต - อานาปานสติ ครั้งที่ 94 (10 มี.ค. 67 5/5)Wed, 20 Mar 2024 - 47min
- 756 - นำปฏิบัติภาคบ่าย - อานาปานสติ ครั้งที่ 94 (10 มี.ค. 67 4/5)Wed, 20 Mar 2024 - 46min
- 755 - เรียนรู้ชีวิตตรงไปที่กายที่ใจ - อานาปานสติ ครั้งที่ 94 (10 มี.ค. 67 3/5)Tue, 19 Mar 2024 - 1h 04min
- 754 - นิ่งรู้อย่างอิสระ - อานาปานสติ ครั้งที่ 94 (10 มี.ค. 67 2/5)Tue, 19 Mar 2024 - 12min
- 753 - คุณค่าของศีล - อานาปานสติ ครั้งที่ 94 (10 มี.ค. 67 1/5)Tue, 19 Mar 2024 - 17min
- 752 - ปัจฉิมนิเทศ ผลของการปฏิบัติธรรม - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 11/11)Mon, 18 Mar 2024 - 1h 00min
- 751 - นำปฏิบัติเดินจงกรม - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 10/11)Mon, 18 Mar 2024 - 31min
- 750 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 3 - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 9/11)Mon, 18 Mar 2024 - 30min
- 749 - กรรมและการเวียนว่ายตายเกิด - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 8/11)Sun, 17 Mar 2024 - 1h 11min
- 748 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 2 - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 7/11)Sun, 17 Mar 2024 - 39min
- 747 - เครื่องร้อยรัด - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 6/11)Sun, 17 Mar 2024 - 58min
- 746 - การเดินจงกรม - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 5/11)Sat, 16 Mar 2024 - 1h 06min
- 745 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 1 - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 4/11)Fri, 15 Mar 2024 - 33min
- 744 - อานาปานสติภาวนา - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 3/11)Fri, 15 Mar 2024 - 47min
- 743 - ปฐมนิเทศ หลักของการภาวนา - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 2/11)
คอร์ส "อยู่อย่างมีสติ" วันที่ 13-15 มีนาคม พ.ศ. 2567 ณ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ โดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร
Thu, 14 Mar 2024 - 1h 30min - 742 - การสมาทานศีล - คอร์สอยู่อย่างมีสติ อยุธยาบ้านสวนริมน้ำ (13-15 มี.ค. 67 1/11)Thu, 14 Mar 2024 - 19min
- 741 - ตั้งต้นที่ความตั้งมั่น เอ็มโพเรียม 28 ก.พ. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร แสดงพระธรรมเทศนาแก่คณะผู้บริหารและพนักงานบริษัท ดิ เอ็มโพเรียม กรุ๊ป และ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ณ อาคาร เอ็มโพเรียม กรุงเทพมหานคร วันพุธที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
Wed, 28 Feb 2024 - 33min - 740 - หลักการเจริญภาวนา วัดทองเนียม 25 ก.พ. 67Mon, 26 Feb 2024 - 1h 02min
- 739 - เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา วัดบุปผาราม วรวิหาร 24 ก.พ. 67Sun, 25 Feb 2024 - 41min
- 738 - กรรมฐานพัฒนาชีวิต มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 19 ก.พ. 67
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม วรวิหาร แสดงธรรมในกิจกรรมปฏิบัติธรรมอบรมกรรมฐานเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ณ อาคารปฏิบัติธรรม มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ศาลายา จ.นครปฐม วันจันทร์ที่ ๑๙ ก.พ. ๒๕๖๗ เวลา ๑๙.๓๐ น.
Mon, 19 Feb 2024 - 1h 13min - 737 - เรียนรู้กายใจนี้ด้วยความตั้งมั่น วัดบุปผาราม วรวิหาร 17 ก.พ. 67Sun, 18 Feb 2024 - 57min
- 736 - การผูกเวร วัดบุปผาราม วรวิหาร 2 ก.พ. 67
เทศน์วันพระ โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบุปผารามวรวิหาร วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ
บุคคลผู้ใดก็ตามที่เข้าไปผูกเวรไว้ว่า ผู้นั้นได้ด่าเรา ผู้นี้ได้ทำร้ายเรา ผู้นี้ได้ชนะเรา ผู้นี้ได้ขโมยยื้อแย่งสิ่งของอันเป็นของเรา เวรของคนเหล่านั้นจะไม่มีวันสงบระงับได้เลย
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ
บุคคลผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้คิดว่า คนนั้นได้โกรธเรา ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้หาเรื่องเรา ได้ชนะเรา ได้ยื้อแย่งโขมยสิ่งของอันเป็นของเรา คือไม่ได้คิดในความเป็นไปอย่างนี้กับใครเลย เวรของคนๆนั้นย่อมระงับ
Sat, 10 Feb 2024 - 33min - 735 - กาลเวลากลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง วัดบุปผารามวรวิหาร 4 ม.ค. 67
เทศน์วันพระ โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบุปผารามวรวิหาร วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2567
กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนากาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ทั้งหลายพร้อมทั้งตัวมันเอง
เมื่อเวลาผ่านไปปีหนึ่ง ไม่ได้ผ่านไปเฉยๆมันกลืนกินอายุของเราไปด้วย และกลืนกินตัวเองด้วย สรรพสัตว์ทั้งหลายถึงจุดย่อยยับของชีวิตเร็วขึ้น
กาลเวลาเป็นนักฆ่าตัวแท้จริง เราจะต้องตายเพราะถูกกาลเวลากลืนกินอย่างแน่นอน
Sat, 10 Feb 2024 - 23min - 734 - การสมาทานศีล - อานาปานสติ ครั้งที่ 93 (4 ก.พ. 67 4/4)Wed, 07 Feb 2024 - 44min
- 733 - นำปฏิบัติภาคบ่าย - อานาปานสติ ครั้งที่ 93 (4 ก.พ. 67 3/4)Tue, 06 Feb 2024 - 1h 08min
- 732 - นำปฏิบัติภาคเช้า - อานาปานสติ ครั้งที่ 93 (4 ก.พ. 67 2/4)Tue, 06 Feb 2024 - 24min
- 731 - ธรรมะลืมย่าม - อานาปานสติ ครั้งที่ 93 (4 ก.พ. 67 1/4)
อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 93
โดย พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) วัดบุปผาราม วรวิหาร
วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์ เครื่องผูกมัดจิตเป็นกิเลส รั้งความเพียร 5 ประการ 1. ความกำหนัดพอใจรักใคร่ในกามทั้งหลาย 2. ความกำหนัดพอใจรักใคร่ในกาย 3. ความกำหนัดพอใจรักใคร่ในรูป 4. ความกำหนัดพอใจรักใคร่ในการ กินอิ่มแล้วก็มานอนเพื่อประกอบให้เป็นความสุข 5. ความกำหนัดความพอใจรักใคร่ในการปฏิบัติธรรมเพื่อหวังจะไปเกิดเป็นเทพเทวาพวกใดพวกหนึ่ง เมื่อมีกิเลสเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว จิตก็ไม่น้อมนำไปเพื่อความเพียร วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
Mon, 05 Feb 2024 - 1h 28min - 730 - ปัจฉิมนิเทศ ต่อยอดการภาวนา - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 14/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
วิธีตรวจสอบว่าเรามีความเข้าใจต่อการปฏิบัตินี้ได้แค่ไหน ต้องตอบคําถาม 3 ข้อให้ตรง ดูว่าเรามีสภาวะนั้นไหม คือ
- เข้าถึงกายใจที่แท้กายใจที่แท้ หมายถึง กายจริงๆที่ฝ่าความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่มีอยู่แต่เดิม ผ่านชื่อ สกุล เพศ ฐานะ เพราะกายแท้ๆนี้ พอเข้าไปตั้งปั๊บอยู่ที่กายแท้ๆนี้ มันไม่มีชื่อ สกุล ฐานะ เพศ คือ กายเฉยๆวางไว้ตรงนี้ ท่านใช้ศัพท์สําหรับที่ให้ตัวจิตไปอาศัยกายแท้ๆตรงนี้ว่า นิมิต นิมิตก็แค่ศัพท์บัญญัติ เป็นชื่อที่บัญญัติสําหรับมาสื่อสารกัน ไม่ได้มีสาระตรงนี้ ต้องลึกลงไปกว่าคําว่านิมิต จึงจะเป็นกายแท้ๆ พอเป็นกายแท้ๆแล้ว อยู่ตรงนี้แล้ว รู้ที่ว่านี้มันคือตัวนาม นามคือตัวจิต แต่เราจะเข้าไปถึงตัวจิตแท้ๆทันทีไม่ได้ ต้องให้ตัวจิตในฐานะตัวรู้อาศัยกายแท้ๆอยู่ก่อน แล้วเอารู้ตัวนี้ รู้ที่ทําหน้าที่รู้กายแท้ๆก่อน อาการของกายก็จะแสดงออกมาก็แค่รู้ แล้วเดี๋ยวอาการของจิตก็จะแสดงออกมา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม ก็คือตัวใจ แต่มันแสดงอาการออกมาในลักษณะของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นความรู้สึกนึกคิด เกิดขึ้นข้างใน ความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นพร้อมกับจิตพร้อมกับใจ ภาษาบาลีศัพท์ทางธรรมะเขาเรียก เจตสิก แต่เราก็อย่าไปจํา วุ่นวาย เราเอาที่ภาษาไทยที่เราสามารถเข้าถึงได้โดยตรง คือ ความรู้สึกนึกคิด ตัวรู้ที่รู้เข้าถึงกายแท้ๆ แค่รู้ต่อสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้น เนื่องจากว่ารู้ไปนิ่งรู้เฉยอยู่ที่กายส่วนนี้ สิ่งที่เขาจะเห็นการแรกเลย ที่จะรู้ได้คือ ลมหายใจ ลมหายใจที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นตัวแรกสําหรับการที่จะเข้าถึงกายใจแท้ๆ เพื่อที่จะบ่มความตั้งมั่นอันเนื่องจากสติที่บริสุทธิ์ พอเข้าถึงกายใจแท้ๆแล้ว ตัวรู้ที่วางอยู่นี้เขารู้ลมไปเรื่อยๆ ลมเป็นอาการการแสดงออกของกาย และมันแสดงเยอะมากนะลม สังเกตไหมว่าตัวรู้ที่รู้อยู่ตรงนี้ รู้ลมตรงนี้แต่มันเห็นการสั่นสะเทือนของกาย ความกระเพื่อมของกายไปถึงหน้าอกลงไปถึงท้อง แต่เห็นไหมรู้ยังอยู่ที่นี่ สติที่เข้าไปรู้ลมนั้นจะทําให้เกิดความตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของรู้ ไม่ต้องทําอะไร รู้ไปเรื่อยๆ รู้ลมไปเรื่อยๆ เราก็แค่รู้แค่เห็นมันต่อไปเรื่อยๆ รู้จะมีกําลังขึ้นมา นี่คือกายแท้ๆ รู้อาศัยนิมิตรู้นิ่งเฉยอยู่เข้าไปถึงกายแท้ๆ เพราะว่ามันไม่ได้มีชื่อเรียกอะไร ไม่ได้มีสัญญาไปปรุงแต่งอะไร แค่รู้วางอยู่ต่อไปมันก็จะไปเห็นจิตหลุดออกไปคิด เห็นเวทนา เห็นความรู้สึกนึกคิดในส่วนของอดีต เห็นความจํา หรือเรื่องที่กําลังมุ่งหวังจะทําในอนาคต เรื่องราวของจินตนาการ เรื่องราวของความคิด ซึ่งเรียกรวมลงในนี้ว่า เห็นความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดนี่เป็นเรื่องอาการของใจแล้วทีนี้ พอเราเห็นความรู้สึก ความรู้สึกเกิดขึ้นปั๊บ ตัวรู้ที่อยู่นี้ก็ไปเห็นความรู้สึก แค่เห็นความรู้สึก แค่รู้ต่อมัน ไม่ไหลลงไปกับความรู้สึกที่ปรากฏแล้วไปปรุงแต่งแช่ต่อ หมกมุ่นจนกลายมาเป็นอารมณ์อื่นๆ ถ้าอย่างนั้นรู้นี้จะหลุดออกไป ทําหน้าที่แค่รู้ แค่รู้ว่ามันเกิดขึ้น รู้นี้จะตรงเข้าไปสู่กาย สู่ใจแท้ๆ นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระนิ่งรู้ หมายความว่า รู้นิ่งๆ รู้อยู่นิ่งๆ เฉยอยู่ไม่ปรุงแต่งอะไร ไม่หวั่นไหวไปกับอะไร มีอะไรมากระทบมาก็ไม่หวั่นไหวไปกับมัน เฉยๆ อย่างอิสระ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซงในรู้ หมายความว่า เราจะต้องไปวางรู้นี้ วางให้มันอย่างนี้ ขยับไปจับอยู่ตรงนี้ อย่าให้มันหลุดออกไปทางซ้าย ทางขวา อย่าให้ถลำลึกลงไปข้างใน อย่าให้ลงไปข้างหน้า อย่างนี้เรียกว่าเข้าไปแทรกแซงไม่อิสระ นิ่งรู้เฉยๆอยู่อย่างอิสระ ก็รู้นิ่งๆเฉยอย่างอิสระ เฝ้าอยู่ตรงนี้ พอลมมาก็รู้ พอรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรู้ก็จะกระจายตัวมันเองออกไปตามกําลังของความตั้งมั่นที่บ่มขึ้นมาจากสติที่บริสุทธิ์ รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรื่องรู้ ดูสิ่งที่ถูกรู้อันแรกคือ ลมหายใจ ลมหายใจออกเรารู้อย่างไร ที่เดียวหรือว่าวิ่งตาม แต่ในความรู้สึกที่เป็นสภาวะ หมายความว่า มันจะรู้เฉพาะลมที่มากระทบ ลมที่สัมผัสแตะกับพื้นผิวของบริเวณกายที่เป็นจมูกหรือริมฝีปากส่วนนี้ ถ้าตัวรู้รู้ลมที่มาสัมผัสกับผิวกายที่เป็นกายประสาท และตัวรู้รู้ต่อลมนั้นตรงๆ ลมนั้นเป็นลมที่เป็นธรรมชาติ แม้ว่ามันเกิดจากการที่เราตั้งใจหายใจ แต่ตัวรู้จะไม่สนใจเรื่องการตั้งใจหายใจ ลมที่กระทบคือ สิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ เพราะมันเป็นความจริงที่ตัวรู้เข้าไปรับรู้ได้ เกิดจากเหตุปัจจัยไม่ได้เกิดจากเรา เกิดจากเหตุปัจจัยเกิดจากตามธรรมชาติของเขาที่มีเหตุและปัจจัยเกิดขึ้น รู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา คือ มันมีเหตุและปัจจัยก่อให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา อย่างนี้เรียกว่า ลมที่เป็นธรรมชาติ ให้รู้ลมนั้น
Tue, 30 Jan 2024 - 1h 33min - 729 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 5 นิ่งรู้เฉยอยู่- การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 13/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ตั้งกายตรง พอตั้งกายตรงแล้วก็ลองปรับตัวดูให้กายเบาสบาย เดินตัวรู้ตั้งแต่เบื้องบน ตั้งแต่ปลายผมลงไปเลยปลายผมลงมาหนังศีรษะ ลงมาใบหน้า ลงมาลําคอ ข้อต่อ ลําตัว ลําตัวนี่เห็นทั้งซ้ายและขวาของแขน ใต้แขนลงไป ซึ่งไปถึงขาซ้ายขาขวา เข่า หน้าแข้ง ปลายเท้า แล้วก็จากฝ่าเท้าเดินขึ้นมา เดินขึ้นมา เดินขึ้นมา จากฝ่าเท้าเดินตัวรู้เดินขึ้นมา เดินขึ้นมา เดินขึ้นมาตรงๆ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ปล่อยไป ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปบังคับ ให้มันชัด ไม่ต้อง แค่เดินตัวรู้ขึ้นมาจากฝ่าเท้าขึ้นมา ถ้ากลางแข้ง ถึงเข่า ถึงขา ถึงบั้นเอว ถึงคอ ถึงคาง ถึงปาก ถึงจมูกถึงตา ถึงหน้าผาก ถึงศีรษะ หนังศรีษะด้านบน แล้วก็เดินลงไปอีกนะ จากหนังศีรษะ ลงไป ลงไป ลงไป จนถึงฝ่าเท้า แล้วก็ขยับฝ่าเท้าให้มันรู้สึก ตัวรู้ก็จะหยุดอยู่ตรงที่ฝ่าเท้า ขยับฝ่าเท้าให้รู้สึก ตัวรู้จะหยุดอยู่ตรงที่ฝ่าเท้านั้น วางฝ่าเท้านิ่ง แล้วก็เดินตัวรู้ขึ้นมา เดินขึ้นมา เดินขึ้นมา จนถึงคอ ถึงศีรษะ ถึงหนังศีรษะด้านบน แล้วก็เดินลงมาเดินลงมาจากหนังศีรษะด้านบนลงมาจนถึงคอ จากคอเดินขึ้นมาจนถึงปาก ขยับริมฝีปากแตะกันหน่อยแล้วก็รู้สึกกับมัน แล้ววางปากนิ่ง เดินจากปากขึ้นไปเหนือริมฝีปาก จากเหนือริมฝีปากก็กินบริเวณไปถึงโพรงจมูก ถึงปลายโพรงจมูก นิ่งรู้อยู่ตรงนั้น แล้วก็นิ่งเลย
รู้นิ่งๆอยู่ตรงเหนือริมฝีปากและปลายจมูก วิธีพิสูจน์ว่าตรงนี้ที่อาตมาพูดว่า เหนือริมฝีปากและปลายโพรงจมูก มันไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องบังคับให้มันไปอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ แต่ศูนย์กลางของมันที่จะทําให้เกิดความชัดเจน สําหรับที่อาศัยตรงนี้ของแต่ละคนก็คือ ตรงที่ลมกระทบ ลมไปสัมผัสกับกายประสาท ลมไปแตะกับผิว ผิวหนังตรงนั้นจริงๆที่รับรู้ได้ ก็จับบริเวณนั้นแหละเป็นที่อยู่ ซึ่งรวมอยู่ในคําพูดว่าเหนือริมฝีปากบนกับปลายจมูก ความหมายก็คือว่า ที่ๆลมกระทบกับกายประสาท แล้วตัวรู้มันรู้สึกได้ รับรู้ได้ รู้ได้ว่าลมกระทบตรงนั้น แล้วก็นิ่งรู้อยู่ตรงนั้น ของแต่ละคนอาจจะต่างกันนิดหน่อย อาจจะไม่ตรงกันหมดทุกคน แต่ใช้คําพูดว่าเหนือริมฝีปากบนกับปลายจมูก เพราะว่าใช้คํารวม เพราะทุกคนจะไม่เกินไปจากนั้น จากริมฝีปาก จากปลายจมูก แต่ว่าจะริมฝีปากตรงไหน ปลายจมูกตรงไหนของแต่ละคน ตัวเจ้าของจะรู้เอง รู้ได้จากการที่ลมมันไปสัมผัสกับกายประสาทตรงพื้นผิวส่วนใดตัวรู้เข้าไปรับรู้ได้ถึงการที่ลมไปกระทบหรือไปสัมผัสกับกายส่วนนั้น ตรงนั้นบริเวณนั้นที่เรียกว่านิมิต หรือเรียกว่า เหนือริมฝีปากบนกับปลายโพรงจมูก เมื่อตัวเจ้าของเข้าไปรับรู้ลมที่สัมผัสกับพื้นผิวนั้นได้ตรงไหน วางผู้รู้นิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น เฝ้ารู้อยู่ตรงนั้น ตรงนั้นแหละเป็นนิมิต บริเวณนั้นแหละเป็นนิมิต มันเป็นปัจจัตตังนะ เป็นเรื่องเฉพาะตัว รู้เฉพาะตน ของคนไหนคนนั้น นิมิตอาตมาพูดได้ แต่มันไม่มีใครมารู้ได้หรอกว่าอยู่ตรงไหน นิมิตของท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน บอกได้ สื่อสารได้ แต่มันไม่มีใครรู้ได้ว่านิมิตของของท่านนั้นอยู่ตรงไหน มีแต่ตัวท่านเท่านั้น เราเองเท่านั้น เป็นปัจจัตตัง ขณะนี้เป็นเรื่องราวที่เป็นปัจจัตตัง เหมือนนิ่งรู้เฉยอยู่แล้ว ก็รู้ลมหายใจ ถ้าอย่างนี้แล้วจะรู้ลมแบบสบายๆ แม้ลมหายใจที่เข้าออกเป็นลมที่เราบังคับ คือ เป็นการตั้งใจ แต่ตัวรู้ที่นิ่งเฉยอยู่ไม่สนใจการตั้งใจ จะรู้ได้แค่ลมที่กระทบเท่านั้น ลมกระทบออกรู้ ลมกระทบเข้ารู้ กายก็จะนิ่งแบบสงบ จะเป็นกายวิเวก นิ่งแบบสงบแบบไม่มีตัวใดที่สามารถไปกระตุ้นให้กายนั้นมีความสั่นไหว มีความไหวเอน มีความกวัดแกว่งได้เลย เมื่อรู้มีกําลังขึ้นมาอย่างนี้ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติดังกล่าว
Tue, 30 Jan 2024 - 08min - 728 - เข้าถึงกายใจที่แท้ - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 12/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
สมัยพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักกัปปวัตนสูตร ที่เราได้ยินว่า
เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา
คําว่า ภิกฺขเว ตอนนั้นปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ยังไม่บวชพระ แต่พระพุทธเจ้าเรียก ภิกฺขเว แปลว่าผู้เห็นภัยในสงสารทั้งหลาย คนที่มานั่งฟังเพราะเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ ไม่มีความหลง ความเพลิน มีแต่ความอยากไปให้พ้นจากวัฏทุกข์นี้ เรียกว่า เป็นผู้เห็นภัย มีความเห็นภัยในวัฏสงสารนี้แล้ว จึงมานั่งฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าสะกิดปั๊บเลยง่าย
เราก็ต้องพยายามนะที่จะต้องพิจารณาเติมมันลงไป นั่งสมาธิเสร็จแล้วก็ทําการพิจารณา นั่งสมาธิพอจิตมันนิ่งรู้พิจารณากาย หรือยามว่างๆวกเข้าไปดูตัวผู้รู้นิ่งอยู่อย่างอิสระ นิ่งรู้เฉยอยู่นั้น พอเข้าไปปั๊บก็พิจารณากายในขณะจิตหนึ่ง ถ้าพิจารณาลงไปด้วยตัวผู้รู้ที่นิ่งเฉยอยู่นั้น พิจารณาด้วยความตั้งมั่นอันตั้งมั่นอยู่ภายใน เห็นว่ากายของเรานี้มันไม่เที่ยงจริงๆ เห็นว่ากายมันไม่เที่ยงชั่วขณะจิตหนึ่ง นี่เรียกว่า ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เห็นแป๊บเดียวแค่นั้น มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคําสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นเรื่องของปัญญาที่ดักความหลงโดยสิ้นเชิง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาจะต้องลงในทุกๆเรื่อง คําสอนของพระพุทธเจ้านี้ห่างเหินจากปัญญาไม่ได้ ปัญญามีอยู่ในศรัทธา ในวิริยะ ในขันติ ในเมตตา เมตตาถ้าไม่มีปัญญาก็อ่อนแอ ขันติถ้าไม่มีปัญญาก็เซ่อ ศีลถ้าไม่มีปัญญาก็แบกศีล พวกดื้อดึง พวกดึงดัน
คอร์สนี้ถึงได้สอนเรื่องนี้ ถอยกลับมาตั้งต้นที่กายใจนี้ แท้ๆ ที่ไม่มีชื่อเรียก พระพุทธเจ้าจึงบอก
นามํ สพฺพํ อนฺธภวิ ว่า ชื่อจะครอบงําสิ่งทั้งปวงอยู่ สิ่งทั้งปวงคือกายใจแท้ๆจะมีชื่อครอบงำอยู่
นามา ภิยฺโย น วิชฺชติ สิ่งทั้งปวงยิ่งไปกว่าชื่อนั้นไม่มี
นามสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคู สรรพสิ่งตกอยู่ในอํานาจของสิ่งๆหนึ่ง สิ่งๆนั้นคือชื่อ
ชื่อที่เรียกสิ่งต่างๆ เข้าไม่ถึง เหมือนกันกับร่างกายที่เป็นกายเป็นใจ ฉลาดแต่สุดท้ายโง่ที่ไม่รู้จักกายรู้จักใจ ทั้งๆที่ตัวเองอยู่ที่กายที่ใจ แต่ไม่เคยรู้จักกายรู้จักใจ หลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงสอนในเรื่องของการเข้าถึงต้นธาตุที่เป็นธรรมธาตุจะต้องเริ่มต้นที่กายใจแท้ๆ
อันนี้ก็มาขยายความย้ำตอกลงไปอีกว่า ว่าเราควรเริ่มต้นและก็เข้าถึงตัวที่เป็นธรรมะได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นไม่มีทาง ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว มันไม่จําเป็นต้องมาวัดไหม ไม่จําเป็นต้องมีวัดด้วย ไม่จําเป็นต้องมีพระ ไม่จําเป็นต้องมีอะไร ถ้ามีความรู้และความเข้าใจแบบนี้แล้ว มันเข้าถึงธรรมะได้ทันที พอมีวัดมีพระ บางทีก็จะทําให้เราเขวออกไปเหมือนกันนะ ต้องวัดนี้นะ ต้องหลวงพ่อองค์นี้นะ ต้องอย่างนี้นะ ถ้าไม่อย่างนี้นะไม่ได้ หาอยู่แต่ข้างนอกหมดเลย ไม่เข้าไปที่กายที่ใจ พึงตระหนักให้ดีนะ มาเข้าคอร์สนี้แล้วได้ ได้กันอย่างนี้แล้ว พึงตระหนักให้ดีว่าเราตรงต่อกายใจ แล้วมันง่ายมาก นั่งตัวตรง นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า รู้นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระบริเวณนิมิต นิ่งรู้เฉยๆ แล้วลมมาก็รู้อย่างนั้น พอมีความเข้าใจแล้วมันเห็นอยู่เลยว่า รู้ที่ตั้งอยู่ตรงนี้ พอลมหายใจมาแล้วกระทบกับกายประสาท ตัวรู้ที่เฝ้ารู้ลมที่กระทบกับกายประสาท แล้วครูดออกไป และลักษณะรู้นิ่งอย่างนี้เป็นสติที่บริสุทธิ์ สติที่ระลึกรู้อยู่ วันหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่หมื่นกี่แสนครั้ง มันทํางาน แต่มันไม่เคยเป็นสติที่บริสุทธิ์ แต่สติจะมาบริสุทธิ์ตอนที่นิ่งรู้อย่างอิสระอย่างนี้อยู่ตรงนี้ และลมหายใจมากระทบ และตัวรู้ตัวนี้วิ่งตรงเข้าไปสู่สิ่งที่ถูกรู้อันเป็นลมกระทบ เป็นสติที่บริสุทธิ์ขึ้นมา สติที่บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นบ่มเป็นความตั้งมั่นขึ้นให้กับรู้ ความตั้งมั่นตั้งขึ้นที่จิต รู้ตั้งขึ้นที่จิต จิตที่รู้นิ่งเฉยอยู่ แล้วมีสติบริสุทธิ์ทํางานต่อเนื่องตลอดเวลา บ่มเป็นความตั้งมั่นขึ้น ความตั้งมั่นที่บ่มขึ้นมานี้มีกําลังมาก ในที่สุดก็ตกมาเป็นญาณ มาเป็นตัวหยั่งรู้ก่อขึ้น จิตก็จะปรับเปลี่ยน จากรู้ก็เป็นหยั่งรู้ เวลาตัวหยั่งรู้จึงรู้เห็นได้ เวลาตัวรู้ ตัวผู้รู้ มันแค่รู้นะ แต่พอเป็นญาณมันทั้งรู้และเห็น มันหยั่งรู้จึงเกิดการรู้เห็นได้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดนี้มีอยู่ข้างในนี้ แต่มันต้องเริ่มต้นที่กายที่ใจแท้ๆ เริ่มต้นจากการที่ตรงเข้าไปสู่การปฏิบัติที่ทํากันมาเท่านั้น สิ่งที่ฝ่าฝืนเห็นต่างไปจากนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อที่ออกไปนอกกายนอกใจซึ่งไม่ใช่สติปัฏฐานไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าชี้
Mon, 29 Jan 2024 - 57min - 727 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 4 - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 11/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ตั้งกายตรง ตรงยืดเลย แล้วก็สงบกายลงมา ดํารงสติเฉพาะหน้า น้อมตัวผู้รู้อยู่เหนือริมฝีปากและปลายจมูก สงบกายปั๊บมันก็มาเลยนะ เพราะเราทําประจํามันจะมาตั้งเลย นิ่งรู้ รู้นิ่งๆ ไม่ต้องทําอะไร ไม่ต้องจ้องที่จะหาอะไรแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ต้องจ้องไปก่อน รู้นิ่งๆอยู่ที่เดียว รู้นิ่งๆเฉยๆ ลมหายใจมาก็รู้ รู้ไม่กระสับกระส่ายเฝ้านิ่งรู้อยู่ตรงนั้น เรียกว่า รู้เฉยๆ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่กระสับกระส่าย
เป็นอิสระจากความคิด แม้นมีความคิดมันก็ไม่ไหลไปกับสิ่งที่คิด เป็นอิสระจากความรู้ แม้มีความรู้สึก มีความจําใดๆโผล่ขึ้นมา ก็ไม่ไหลไปกับความจํานั้น เป็นอิสระจากความเชื่อ แม้มีความเชื่อใดๆ ก็เข้ามาแทรกแซงตัวรู้นิ่งเฉยอยู่นี้ไม่ได้ นี่เป็นอิสระ
ตัวผู้รู้อยู่ที่นิมิตก็จริง แต่มันไม่ใช่นิมิตแค่อาศัยอยู่ เหมือนน้ำที่อยู่ในขวด น้ำไม่ใช่ขวด ขวดก็ไม่ใช่น้ำ นิมิตที่ตัวผู้รู้อาศัยนิ่งเฉยอยู่นี้ก็ไม่ใช่นิมิต นิมิตก็ไม่ใช่รู้ ตัวผู้รู้ก็ไม่ใช่นิมิต แยกกันเหมือนน้ำกับขวด
จากนั้นตัวผู้รู้ทํากิจ คือ การดูลมหายใจนิ่งๆที่ผ่านเข้าผ่านออก ลมหายใจออกคือลมข้างในที่ไหลออกมาไม่ใช่เรา เมื่อลมข้างในไหลออกมาเราก็ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องจินตนาการว่าลมที่ไหลออกมานี้มาจากไหน เพราะถ้าทําอย่างนั้นคือการคิด ไหลออกมารู้ตรงที่รู้ได้ก็คือที่มันสัมผัสกับกายประสาทที่เป็นผิวหนังอยู่เหนือริมฝีปากปลายจมูก พอหายใจออกลมสัมผัสกับผิวหนังนั้น ตัวรู้ก็เข้าไปรับรู้ตรงนั้น รู้ลมกระทบออก เรียกว่า รู้ลมออก ลมเข้าก็เป็นลมนอกที่ไหลเข้า ลมนอกมาจากไหนก็ไม่ต้องไปรู้ ไม่ต้องไปสงสัย แต่เมื่อเคลื่อนเข้ามาแล้วมาสัมผัสกับกายประสาทที่ผิวหนังเหนือริมฝีปากและปลายจมูก ตัวรู้ก็เข้าไปรับรู้ตรงนั้น ตั้งแต่ต้นลมกลางลมปลายลมจนสุดลมหายใจเข้า เรียกว่า รู้ลมที่ไหลเข้า
รู้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างนี้ 2 คู่ 3 คู่ ไปเรื่อยๆลมก็จะเริ่มเรียบ นุ่ม เบา แต่ตัวผู้รู้นิ่งรู้เฉยอยู่ให้อยู่ที่ฐาน ฐานคือกายที่เราเรียกว่านิมิต เหนือริมฝีปากกับโพรงจมูกเฝ้านิ่งรู้อยู่ตรงนั้น
ถ้ามันหลุดออกไปไหลลื่นกับลม มันจะถูกแทรกโดยนิวรณ์ทันที ถ้ามันจับอยู่ตรงลมที่สัมผัส รู้แล้วพอไหลเข้าไปข้างใน มันวิ่งเข้าไปข้างในด้วย พอลมออกมามันวิ่งตามลมออกมาแล้วมันรู้ลมที่สัมผัสนั้น แล้วมันก็วิ่งออกไปด้วย โดยไม่นิ่งเฉยอยู่ที่นิมิต นั่นเรียกว่าฟุ้งซ่าน คือ อยู่กับอารมณ์หลายอารมณ์ วิ่งเข้าวิ่งออก เราต้องถอยกลับมานิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิตก่อน แล้วรู้ลมเบาๆตามธรรมชาติของมัน ถ้ารู้หลุดจากฐาน คือ หลุดจากนิมิตไปเกาะอยู่กับลมหายใจ ลมเข้ารู้ ลมออกรู้ แล้วลมก็จะแผ่วลง รู้ก็จะแผ่วลง เบาๆ แล้วมันจะเคลิ้ม แล้วสักพักหนึ่งมันจะหลับ ถ้ารู้สึกตัวว่าขณะนี้อยู่ในสภาวะนั้นเราตกอยู่ในอํานาจของนิวรณ์ ก็ถอยกลับมาเฉยๆ นิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิตตั้งขึ้นมาใหม่ ถ้าตราบใดที่นิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิต กําลังแห่งรู้ที่ปรากฏจะมีฐานเป็นอุเบกขา คือ ความนิ่งมีกําลังเพิ่มขึ้น ความง่วงจะไม่เกิด แม้เกิดจะไม่อยู่ในอํานาจของความง่วง
ลมจะเป็นอย่างไรให้เป็นเรื่องของลม ลักษณะลม บางครั้งแรง ยาว เป็นขยักๆ ก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นความเป็นจริงของลมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น รู้ที่นิ่งรู้อยู่ก็รู้ลมนั้นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ พอเรียบเป็นลมปกติก็จะเหลือแค่ลักษณะของลมที่กระทบต่อกายประสาท ตัวรู้เฝ้ารู้อยู่ตรงนั้น สบายๆ ไม่ต้องจ้อง เพ่งเล็งอะไรเขา
ขยับนิ้วมือขวา ให้ตัวผู้รู้ รู้นิ้วมือขวาที่ขยับ ปลายนิ้ว ยกมือขวาขึ้น ให้ตัวรู้รู้มือขวาที่เคลื่อน แล้วก็วางมือขวาวางไว้ที่เข่าข้างขวา ตัวผู้รู้นิ่งรู้อยู่ที่นิมิต แต่รู้เห็นมือข้างขวาที่วางไว้ที่เข่าข้างขวา ขยับนิ้วมือซ้าย ขยับปลายนิ้วมือซ้ายให้ตัวผู้รู้รู้สึก ยกมือซ้ายขึ้น ตัวรู้นิ่งเฉยอยู่ที่นิมิต แต่เห็นมือซ้ายที่ขยับ วางมือซ้ายที่เข่าข้างซ้าย รู้อยู่ที่นิมิตเห็นมือซ้ายวางอยู่บนเข่าข้างซ้าย น้อมรู้วางอยู่ที่นิมิต นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระอย่างนั้น แล้วก็ผงกหน้านิดหนึ่ง ลืมตาออกจากสมาธิ
ในระหว่างนี้ก็ใช้การต่อยอดการปฏิบัติไปเรื่อยๆ วิธีการก็คือ วกเข้าไปดูบ่อยๆ เรื่อยๆ นั่นดีกว่านั่งอยู่ในรูปแบบแบบนี้นะ รู้ที่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระเข้าไปดูบ่อยๆ พอนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วรู้อะไรบ้าง นั่งลืมตานิ่งๆดูสิ มันนิ่งรู้เฉยๆอยู่อย่างอิสระ เห็นมันไม่ปรุงแต่งอะไรแสดงว่ามันสักแต่ว่าเห็น ได้ยินไม่ปรุงแต่งอะไรแสดงว่ามันสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อใดก็ตามที่เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง ได้ยินแล้วมันไม่ปรุงแต่ง แสดงว่ารู้อยู่ข้างไหน นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระทําอย่างนี้นะ
Mon, 29 Jan 2024 - 17min - 726 - ความตั้งมั่น - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 10/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ความตั้งมั่นแบบผิดๆที่อยู่ในอํานาจของอวิชชาเพิ่มพูนความเป็นเรา เพิ่มพูนความเป็นอัตตาตัวตน และเป็นที่ตั้งอาศัยของกิเลสทั้งหมด ถ้าความตั้งมั่นนั้นแข็งแรงกิเลสก็จะอ้วนพี ความตั้งมั่นที่ผิดนี่อันตรายมาก บางครั้งพระพุทธเจ้าเรียกว่า สุสมาหิต แปลว่า ความตั้งมั่นดี หมายความว่า ความตั้งมั่นที่เกิดจากสติสัมปชัญญะที่ถูกอบรมมา หรือเรียกว่า เป็นสติที่เกิดขึ้นมาจากการเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น ถ้าเจริญสติปัฏฐานถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราจะสังเกตทําไมถึงกล่าวถึงพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครรู้ เรื่องที่พูดอยู่นี่มันไม่มีใครรู้ เพราะเราอยู่ในเหยื่อของอวิชชาทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสรู้จึงนํามาเปิดเผย เราจึงรู้ว่าในตัวของเรายังมีธรรมธาตุอีกชนิดหนึ่ง เราโตมากับจิตที่ตั้งมั่นและมีคุณสมบัติของอวิชชา คือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะทําอะไรก็เข้าทางของอวิชชาหมด ทุกอย่างเลยอยู่ในจินตนาการ อยู่ในความคิด อยู่ในห้วงคํานึง แล้วยิ่งเราเคลื่อนไหวเท่าไร ก็จะเป็นอาหารให้กับอวิชชาหมด ความคิดดีๆที่เราว่าดีแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไปบํารุงอวิชชา ให้เราหมุนวนลูปอยู่ในวัฏสงสารนี้
เพราะฉะนั้นในเรื่องของความตั้งมั่น ที่พูดกันว่าเรารู้ลมหายใจแล้วก็บ่มความตั้งมั่น มันหมายถึง ความตั้งมั่นชนิดที่เป็น สุสมาหิต คือ เป็นความตั้งมั่นดี และความตั้งมั่นนี้จะเกิดขึ้นจากอื่นไม่ได้นอกเหนือจากการรู้ตามความเป็นจริงต่อกายต่อใจเท่านั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า
สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ
พวกเธอจงทําสมาธิกันเถิด
สมาหิโต ภิกฺขเว ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาติ
ภิกษุทั้งหลายเพราะจิตที่ตั้งมั่นดีนั้น ย่อมรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง
ยถาภูตํ ปชานาติ แปลว่า รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง คําว่าทุกอย่างในที่นี้ หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ หรือขันธ์ 5 อันหมายถึงกายและใจ รู้กายตามความเป็นจริง รู้ใจตามความเป็นจริง
เมื่อรู้กายรู้ใจนี้ตามความเป็นจริง มันจะรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง
ถ้าไม่รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง มันจะรู้ทุกอย่างผิดหมด
- ความเป็นจริงชั้นแรก คือ ความปรากฏรูปลักษณ์ อย่างรูปกายนี้ เนื้อก็รู้ว่าเนื้อ ดูลงไปอีก เราก็รู้ว่าใต้เนื้อเป็นพังผืด น้ำเหลือง เลือด เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏไม่มีสัญญาอย่างอื่นเข้ามา ความเป็นจริงชั้นที่ 2 ก็จะเปิดเผยออกมา อย่างความเชื่อที่เราเคยมีอยู่ ว่าผิวสวย ผิวงาม หล่อ น่ารัก คําพูดพวกนี้จะหายไปหมด เพราะมันจะปรากฏความเป็นจริงว่า มันไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารัก เลือดน่ารักไหม ขี้หัวน่ารักไหม ขี้หูน่ารักไหม มันเป็นปฏิกูลเผยตัวเองออกมา ความจริงชั้นที่ 3 รูปที่แยกย่อยออกมาเป็นส่วนละเอียดที่เราเรียกว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ที่เป็นธาตุดินนี้ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย แล้วมีปัจจัยเข้าไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตลอดเวลา ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และมันจะแตกสลาย
ความจริงชั้นแรกนี้เห็นด้วยการนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ถ้านิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ มันจะตรง เห็นมันก็คือเห็น ได้ยินมันก็คือได้ยิน แต่ถ้าไม่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ พอเห็นปั๊บมันมีสัญญาเข้าไป สัญญา อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นที่ผูกพันไว้กับภาษาเรียกทั้งหลาย พอเห็นคนนี้ โอ้โหหน้าตาดีนะ เห็นตามอำนาจของสัญญาที่ปรุงแต่ง
แต่ในตัวที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระจะตรง ไม่ปรุงอะไร เห็นก็คือเห็น ได้ยินก็คือได้ยิน ได้กลิ่นก็คือได้กลิ่น ในความจริงชั้นแรกนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนพาหิยทารุจีริยะว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น พอเห็นตรงแล้วนะ ก็สักแต่ว่าเห็น หมายถึง ไม่ปรุง ได้ยินสักว่าได้ยินก็คือไม่ปรุง ได้กลิ่นสักว่าได้กลิ่นก็ไม่ปรุง คิดสักว่าคิดก็คือไม่ปรุง ไม่ปรุงเห็นแล้วนิ่งเฉยรู้อยู่อย่างอิสระ คือการไม่ปรุง ตัวนี้ถ้าไม่ฝึกไม่ได้ แต่สภาวะปรุงกับไม่ปรุงมีอยู่ไหม มีอยู่ แต่เราอยู่กับการปรุงมาเป็นปกติเพราะเรามีความเชื่อว่านี่เป็นตัวเรา แล้วเราก็มีความรู้ มีความจําอยู่ข้างในนี้เยอะมาก พอเห็นอะไรปั๊บก็ปรุง เวลาปรุงก็เป็นที่ตั้งของอะไร ข้างในของใจที่มันนอนเนื่องอยู่ เรียก อาสวะ
พอเรามาปฏิบัติธรรม สภาวะที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระในการเจริญสตินี้ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นกายและใจอย่างแท้จริง พอตรงปั๊บความตั้งมั่นที่เกิดขึ้นจากสติที่บริสุทธิ์ คือ ความตั้งมั่นที่มีสติและเป็นฐานของรู้ ตัวนี้จะเป็นตัวอุเบกขาที่มีกําลังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ กําลังเขาจะทํางานเป็นที่ตั้งของวิชชา วิชชาที่เกิดจะดับอวิชชาโดยปริยาย
อวิชฺชา ปหียติ ละอวิชชาได้
วิชฺชา อุปฺปชฺชติ วิชชาก็เกิดขึ้น ทันที
Sun, 28 Jan 2024 - 34min - 725 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 2 - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 6/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
นั่งคู้บัลลังก์ คนที่นั่งเก้าอี้อย่าไปพิงนะ ถ้าเราพิงทิ้งกาย อาการทิ้งกาย คือ จิตมันไหลเข้าไปสู่ความพอใจ ทิ้งกายอย่างนี้แป๊บเดียวนะเดี๋ยวก็จะหลับ นั่งเก้าอี้ต้องนั่งให้ตรง ถ้าเรานั่งไปสัก 10นาที 20 นาทีแล้วมันเมื่อย คลายเวทนาไม่ได้ มันรบกวนจิตใจอยู่เรื่อยๆ เราก็เปลี่ยนได้นะ วิธีการเปลี่ยนต้องเปลี่ยนด้วย รู้ยังอยู่ข้างใน การเปลี่ยนท่านั่งเป็นกิริยาอย่างหนึ่ง รู้อยู่ข้างใน แล้วก็รู้เปลี่ยน
นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 2 (15 นาที)
นั่งตัวตรง รวบรวมตัวความรู้ทั้งหมดเข้าไปสู่ที่ตั้ง เหนือริมฝีปากกับปลายโพรงจมูก นิ่งรู้เฉยอยู่ หายใจเข้าให้สุดโดยที่รู้นิ่งเฉยอยู่ที่เหนือริมฝีปากกับปลายจมูก หายใจเข้าให้สุด แล้วค่อยๆปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆ เพื่อให้ตัวรู้ที่เค้านิ่งรู้เฉยอยู่นั้น ได้รู้ตรงต่อลมที่กระทบ ตั้งแต่ต้นลม กลางลม ปลายลม จนสุดลมหายใจที่ไหลออก นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ณ ที่ตั้ง ณ ที่ตั้ง หมายความว่า เหนือริมฝีปากกับโพรงจมูก นิ่งรู้เฉยอยู่ ณ ที่ตั้ง รู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้า สบายๆ ไม่ต้องไปแทรกแซงอะไร ลมหายใจเป็นแบบไหน รู้... จุดที่กระทบ ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ มีความคิดเข้ามาแทรกก็รู้ รู้แล้วปล่อย
ในขณะที่ลมหายใจออกตัวรู้กําลังรู้ลมหายใจออก จิตเกิดการกวัดแกว่ง ด้วยลมที่ยังไม่ออกมาบ้าง ด้วยลมที่ไหลออกไปแล้วบ้าง ก็พึงรู้ว่ามันคือความกวัดแกว่งของจิต ไม่ใส่ใจ ทําหน้าที่แค่รู้ลมที่กระทบตามความเป็นจริง ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ รู้ที่นิ่งรู้เฉยอยู่นั้นมีกําลัง แต่รู้ที่ไปแต่ต่อลมหายใจนั้นเบาๆ ถ้ารู้ที่แตะลมหายใจได้เบาๆ ลมหายใจก็จะละเอียดง่ายขึ้น ความน้อมของใจที่เรียกว่า ฉันทะ ก็จะค่อยๆมีกําลังขึ้น
ไม่ต้องไปแทรกแซงเขา ไม่ต้องไปสงสัยเขา ชีวิตทั้งชีวิต ณ ขณะนี้มีแค่รู้นิ่งอย่างอิสระ ให้ทําหน้าที่ในการรู้ลมกระทบออก รู้ลมกระทบเข้าเท่านั้น ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรอื่น ณ ขณะนี้ที่เป็นปัจจุบันขณะ ไม่มีอะไรอื่น มีแค่รู้กับลมซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
ลมกระทบออกยาวรู้ ลมกระทบเข้ายาวรู้ ลมกระทบออกยาว เขายาวของเขาเองไม่ใช่เราไปทําให้ยาว ลมกระทบออกสั้น เขาก็สั้นของเขาเองไม่ใช่เราไปทําให้สั้น ลมมันละเอียดก็ละเอียดของลมเอง ไม่ใช่เราไปทําให้ละเอียด ลมหยาบมันก็หยาบของลมเองไม่ใช่เราไปทําให้หยาบ บางครั้งลมกระทบออก แค่ลมออกอย่างเดียวเป็น 2 ขยักบ้าง 3 ขยักบ้าง มันก็เป็นเรื่องของลมออกนั้นไม่ใช่เราไปทําให้มันเกิดขึ้น ลมเข้า 2 ขยัก 3 ขยัก เกิดขึ้นได้ มันก็เป็นของลมเอง ไม่ใช่เราไปทําให้มันเกิดขึ้น เมื่อลมออกแล้วลมหายใจเข้าช้าอยู่ เกิดสภาวะลมมันหยุด มันก็หยุดของมันเองไม่ใช่เราไปทําให้มันหยุด นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ กายปรากฏอาการต่างๆ เช่น อาการเจ็บ อาการปวด อาการคัน อาการเหน็บ อาการชา อาการต่างๆเหล่านี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ที่กายส่วนใดส่วนหนึ่ง ตัวจิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระก็เพียงแค่รู้ และการที่จะเข้าไปแค่รู้ได้ มันก็แค่รู้ของรู้เอง เป็นเรื่องของรู้ไม่ใช่เรา รู้จะทําหน้าที่เพียงแค่รู้เท่านั้นไม่ได้ไปแทรกแซงอะไร
ในขณะที่รู้ทําหน้าที่รู้ลมอยู่นั้น ในรอบๆของจิต จะมีเจตสิก คือ กระแสของความคิด เหมือนลูกรวก(ลูกอ๊อด) เหมือนลูกรวกยั้วเยี้ยไปหมดเลย ที่มันจะเจาะเข้ามาสู่ดวงรู้ ถ้าตัวรู้หลุดออกไปสู่ความคิดใดความคิดหนึ่ง แสดงว่า ความคิดนั้นมันเจาะรู้ได้สําเร็จ เราก็แค่รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น แล้วกลับไปสู่ที่ตั้ง นิ่งรู้อย่างอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้คือลมหายใจกระทบต่อเนื่องไป
ไม่ต้องไปหลงกับความสงสัย บางทีมีความสงสัยเกิดเราเพียงแค่รู้ว่านี่คือวิจิกิจฉานิวรณ์ มันเกิดขึ้นมาเพื่อทําให้ตัวรู้ไม่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ แล้วก็ไม่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ตัววิจิกิจฉานิวรณ์จะเป็นตัวที่เกิดขึ้นมาเพื่อกั้นจิตไม่ให้อยู่กับอารมณ์อันเดียว พอจิตจะอยู่กับอารมณ์อันเดียวมันก็จะดีดดิ้นไป การดีดดิ้นของจิตจะเกิดเป็นความสงสัยขึ้นมา เราเพียงแค่รู้ว่านี่คือวิจิกิจฉานิวรณ์ คือ ความสงสัยเกิดขึ้นแค่นั้นเอง จิตก็จะกลับไปสู่ที่ฐาน นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระทันที
ตอนนี้ขยับนิ้วมือขวา นิ่งรู้เฉยอยู่ที่ตั้งแล้วก็รู้นิ้วมือขวาที่ขยับ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ นิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็รู้มือขวาที่กําลังยกแล้วก็เคลื่อนมา วางไว้ที่เข่าข้างขวา ขยับนิ้วมือซ้าย นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ณ ที่ตั้งและก็รู้สึกถึงนิ้วมือซ้ายที่ขยับ ยกมือซ้ายขึ้น นิ่งรู้เฉยอยู่รู้มือซ้ายที่ยกขึ้น แล้วก็วางมือซ้ายไว้ที่เข่าข้างซ้าย นิ่งรู้เฉยอยู่ ณ ที่ตั้ง ผงกหน้านิดหนึ่งแล้วก็ลืมตาออกจากสมาธิ นิ่งรู้เฉยอยู่ ได้ยินเสียงมองเห็นภาพยังนิ่งรู้เฉยอยู่
Sat, 27 Jan 2024 - 26min - 724 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 1 และทบทวนการภาวนา - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 4/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
สังเกตพอเรานั่งสมาธิ ออกมาปั๊บเราจะเห็นทุกอย่าง รู้ทุกอย่างเลยว่ามันนิ่งอยู่ ที่นิ่งอยู่เพราะอุเบกขาคือตัวความตั้งมั่นหรือตัวสมาธิยังอยู่ เราก็ดูมันไปเรื่อยๆ พอเราได้สภาวะนี้แล้ว ในระหว่างคอร์สนี้ ให้ตัวรู้นี้นิ่งรู้เฉยอยู่ภายในอย่างนี้บ่อยๆ วิธีการคือเราชําเลืองดูมัน เวลาเรารู้สึกตัว เช่น เวลาเราเดินไปมันหลุดออกไป เรารู้สึกตัวได้เราก็ชำเลืองเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่ พอแค่เราชําเลืองวกเข้าไปมันก็ตั้งขึ้นทันที ยามที่เราทําโน่นทํานี่เผลอไป เราก็วกเข้าไป ท่านบอกว่าให้เหมือนโคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วย ชําเลืองดูลูกน้อยด้วย ทุกครั้งที่เราวกเข้าไปแล้วเราชําเลืองดูได้ แล้วมีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่ตั้งขึ้น เป็นตัวที่จะต่อยอดการภาวนา เมื่อรู้เป็นระยะ ระยะ ในที่สุดแล้วรู้จะต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน
วิชานี้จะไม่ทําให้ท่านทั้งหลายตกนรก เพราะเมื่อนิ่งรู้เฉยอยู่จนคุ้นชินมีกําลังที่มั่นคงได้แล้วในกิริยาชีวิต จิตดวงสุดท้ายเวลาจะดับ จะตายพูดง่ายๆ ถึงเวลาที่เราจะตายมันทําอะไรไม่ได้แล้ว ตัวนี้ที่เราฝึกฝนไว้มันจะออกมา นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ แต่ถ้าเราไม่มีตัวนี้ไม่ได้ฝึกฝนให้มันแข็งแรง ตอนจะตายมันก็จะดีดดิ้น ใจก็จะเศร้าหมอง ตายด้วยจิตที่เศร้าหมองก็ลงนรกไปอบายหมด แค่นิ่งรู้เฉยอยู่ได้เห็นสภาวะได้ วกเข้าไปแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง บุญมหาศาลเลยนะ เพราะมันจะเป็นที่ตั้งของปัญญาที่จะทําให้เกิดการรู้จริงเห็นจริงต่อไป อันนี้วันนี้ก็ฝึกไว้ตรงนี้ก่อน แล้วก็จากนี้ในคอร์สนี้ไม่ว่าร่างกายจิตใจจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ฝากไว้อย่างเดียว วกเข้าไปเหมือนโคแม่ลูกอ่อน วกเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ตัวนี้เป็นการภาวนาแบบง่ายๆ
ไม่ต้องมุ่งอะไรมากคอร์สนี้ เอาแค่มีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วก็ดูอาการกายอาการใจอย่างเป็นธรรมชาติให้รู้มีที่อาศัยโดยมีลมเป็นเครื่องอยู่เป็นหลัก แค่นี้ จะทําอะไรก็วกเข้าไป
ดูสภาวะตัวนี้ไว้นะ นิ่งรู้เฉยอยู่ ดู เวลาดูทำกายให้นิ่งๆแล้วก็ดู วกเข้าไปดู วกเข้าไปดู พระพุทธเจ้าท่านว่าให้เหมือน
โคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วยชําเลืองดูลูกน้อยด้วย
ตรุณวจฺฉา ถพฺภญฺจ อาลุปฺปติ วจฺฉกญฺจ อปจินติ
เหมือนกันในกิริยาชีวิตพอเผลอเราก็มอง อย่าทิ้ง ตราบใดที่เราชำเลืองเข้าไปให้รู้นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ ปรากฏขึ้น นั่นเรียกว่ามันจะโตวันโตคืน และตัวที่จะเกิดอยู่ในนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ก็คือสติ สมาธิ และปัญญา
เช้าพอตื่นรู้สึกตัวก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นอน วกเข้าไปก่อนเลย นิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็ดูลม หลังจากนั้นรู้อยู่ข้างใน ทำอะไรก็รู้ รู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่รู้ได้ บางทีลืมไป นึกขึ้นมาได้ก็วกเข้าไป ให้อยู่กับรู้เป็นส่วนมาก
ยุคนี้นะโรคเยอะ ถ้าขาดภาวนาอย่างที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนกันอยู่ ชีวิตนี้ไร้สาระทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่เรามีสุดท้ายธรรมชาติเอาคืนหมด ในที่สุดแม้แต่ร่างกายมันก็เอาคืน แต่ภาวนาจะไม่ไร้สาระเพราะกายกับใจมันคนละตัว เวลาแก่เจ็บตาย คือกายไม่เกี่ยวกับใจ ใจนี้ใจเดิมดั้งเดิม ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ทําไมเรารู้สึกว่าแก่ทั้งรูปทั้งนาม เพราะใจเข้าใจว่าร่างกายเป็นของมัน แต่จริงๆมันอยู่คนละตัวใจอาศัยกาย กายเป็นเครื่องมือของใจ ใจอาศัยกาย ใจจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ใจอาศัยกายเป็นเครื่องอยู่ แล้วอาศัยอุปาทาน คือยึดถือว่ากายนี้เป็นของเรา พอกายมีความแปรเปลี่ยน ใจก็เดือดร้อน แต่ภาวนาแล้วใจจะมีเครื่องอยู่เป็นของใจเอง รู้ที่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระจะมีอุเบกขาเป็นฐานจะเกิดความตั้งมั่น จิตจึงมีความตั้งมั่นที่ตัวของจิตเอง มันอาศัยเหนือริมฝีปากกับโพรงจมูก แค่เครื่องอาศัย เมื่อเขามีกําลังแข็งแรงขึ้นมาใจจะตั้งมั่นอยู่ที่ใจ จิตจะตั้งมั่นอยู่ที่จิต เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ที่จิตแสดงว่าจิตมีเครื่องอยู่เป็นของจิตเองไม่เกี่ยวกับกาย อันนี้คือสาระที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ในเรื่องของการปฏิบัติ คือเรียนรู้กายเรียนรู้ใจให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ อย่าไปมโน อย่าไปหลงเลย ส่วนมากเราจะจมอยู่กับความหลงว่า โมหเนยฺเยสุ มุจฺฉิโตมันหมกมุ่นชุ่มแช่อยู่กับอารมณ์อันเป็นขี้ข้าของความหลง สุดท้ายรู้ที่เรากําลังภาวนากันอยู่ จะเป็นตัวหลงตัวสุดท้าย พอเราคลายความหลงหมดแล้ว มันจะเหลือแต่หลงรู้ รู้ถึงรู้อาการของกายของใจแสดงออกมา รู้ตรงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรแล้วทีนี้ มันแจ่มแจ้งในกายในใจแล้ว เหลือแต่รู้ที่นิ่งรู้เฉยอยู่ มันจะเปลื้องรู้ออกไป จะทําให้สติ สมาธิ ปัญญา รวมเป็นตัวเดียวกันตั้งอยู่ที่จิต เป็นอาสวักขยญาณเป็นดวงสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่เดินทางบ่มรู้อย่างนี้ ท่านจะเข้าไม่ถึงเลย
Sat, 27 Jan 2024 - 57min - 723 - นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 9/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
การเจริญภาวนาจะต้องตรงสู่กายสู่ใจ เราจะต้องถอยออกมาจากความจํา ความรู้ ความเชื่อ เพราะเป็นเครื่องรัดรึงใจของเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า
- อภิชฺฌา กายคนฺโถ เครื่องรัดรึงด่านแรกเลย คือ ความชอบใจ ความพอใจ ความยินดี คือ พอเป็นเราแล้ว มันจะรัดรึงเลยว่า เราชอบอย่างนั้น พอใจอย่างนี้ ยินดีอย่างนั้น ต้องการอย่างนั้น พฺยาปาโท กายคนฺโถ เครื่องรัดรึง คือ ความไม่ชอบใจ ที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นก้อนอยู่ภายใน ไม่ชอบใจอย่างนั้น ไม่พอใจอย่างนี้ ไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่ปราถนาอย่างนี้ ไม่หวังที่จะให้มันเป็นอย่างนี้ สีลพฺพตปรามาโส กายคนฺโถ จากความรู้ ความจํา ความเชื่อ ประสบการณ์ที่มีมาทั้งหมด ความรู้ที่มีมาทั้งหมด ก่อให้เกิดวัฒนธรรมประเพณี กิจกรรม พิธีกรรม การปฏิบัติ ข้อปฏิบัติต่างๆที่เราเชื่อไว้ และเราก็ทํามันมาจนรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ได้ต้องอย่างนี้ อิทํสจฺจาภินิเวโส กายคนฺโถ คือ การยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ตนเห็นว่าสิ่งนี้จริง จะขัดแย้งสวนทางกับพระพุทธเจ้าแทบทั้งหมด อะไรก็ตามที่เราเห็นว่าสิ่งนี้จริงแล้วเรายึดมั่นถือมั่นไว้ในเรื่องของโลกสมมติ มันจะไปขัดแย้งกับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า กับหลักของปฏิจจสมุปบาท กับหลักของวิปัสสนาภูมิ
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเรื่องคําสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องของการเข้าถึงธรรมะแท้ๆของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว นี่คือเครื่องรัดรึง 4 ข้อ เป็นเครื่องรัดรึงที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ
ความรู้ ความจํา ความเชื่อ มันก่อให้เกิดความคิด ก่อให้เกิดความปรุงแต่ง ความคิดและความปรุงแต่งก็ไหลไปตามอาสวะ ตัวจิตเดิมที่มีอยู่มันเคลือบอยู่กับความไม่รู้ ก็ไปแสวงหา ถวิลหา สั่งสมความรู้ ความจํา ความเชื่อ ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ เรียกว่า มิจฉามรรค มิจฉัตตะ 10 ประการ เลยผิดตั้งแต่ความเห็น จนถึงแม้กระทั่งหลุดพ้นก็ผิดไปด้วย เราจะไปพิสูจน์ตรงอื่นไม่ได้เลย ดูที่ตัวเอง พิสูจน์ที่เจ้าของ ดูที่ตัวเราเองว่าความกระจ่างแจ้งในกายในใจของเรามีอย่างไร ความกระจ่างแจ้งในกายในใจรู้ได้ด้วยการที่จิตมันเปลี่ยน ยิ่งตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจจะเปลี่ยนแบบมากมายเลยทีเดียว ถ้าไม่เปลี่ยนแสดงว่ามันผิด ภูมิจิตจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสติ สมาธิ และปัญญาที่เราบ่มอย่างถูกต้อง
ตัวรู้ที่รู้ตรงสู่กายสู่ใจที่อยู่ข้างในจะเห็นความเป็นจริงของกายของใจ เห็นไปเรื่อยๆ กายเคลื่อนไหวอย่างไร รู้ ลมเป็นอย่างไร รู้ รู้ในส่วนที่เป็นกายนี้ รู้จนในที่สุดมันรู้ไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุดก็รู้ว่ากายนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มันรู้ด้วยตัวรู้ที่อยู่ข้างในนะ ไม่ใช่รู้ด้วยการคิด ตอนนี้ทุกคนรู้หมดว่ามันไม่เที่ยงใช่ไหม แต่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะรู้อยู่ข้างนอกไม่ได้อยู่ข้างใน พอรู้อยู่ข้างนอกก็คือความคิด ความคิดจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่บ่มเพาะเรามาจนถึงวันนี้ แต่ละคนมีนิสัยต่างๆ นิสัยสันดานที่ไม่เหมือนกันเพราะความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่ก่อให้เกิดเครื่องรัดดึงทั้ง 4 ประการอยู่ในใจ ใจถูกรัดรึงไว้ 4 ประการ ใจเดิมที่มันไม่มีอะไรรัดนึงมันผุดผ่อง พระพุทธเจ้าบอกว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ
ภิกษุทั้งหลายจิตเดิมนี้มันผุดผ่อง
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ
แต่จิตนี้เศร้าหมองเพราะถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามา
จรเข้ามาผ่านทางอายตนะ แล้วก่อให้เกิดเป็นอุปกิเลส แล้วมันก็เศร้าหมองเคลือบอยู่ ถ้าเปรียบเสมือนทองคํา แล้วเทปูนซิเมนต์ห่อไว้อย่างนั้น ไม่มีราคา จะมีราคาขึ้นมาเมื่อตอนที่เราทําลายปูนซีเมนต์แล้วทองมันก็ผุดออกมา
จิตนี้ถูกอุปกิเลสเข้ามาห้อมล้อมจนมันเศร้าหมอง แล้วอยู่ในอํานาจของอารมณ์ต่างๆตลอดเวลา อุปกิเลสที่เข้ามาห้อมล้อมจิตนี้ สรุปอยู่ในคําเดียวคือว่า เรา เราต้องอย่างนี้ เราอย่างนี้ มันจะต้องเรียกร้องแสวงหาสิ่งซึ่งจะต้องให้เข้ามาถูกใจเราตลอดเวลา เรามีหลากวัยกันอยู่ แต่ในความเป็นเราเหมือนกันหมด เราหมายถึง ปัญจุปาทานขันธ์ คือ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ว่าเป็นเรา
ใจในสภาพปกติจะไหลออกไปหาสิ่งที่ชอบใจอยู่เสมอ พระพุทธเจ้ารู้เท่าทันเรื่องนี้ทั้งหมด จึงให้ฝึกด้วยการเข้าถึงกายใจแท้ๆ แล้วนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ พอนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ มันเป็นอนิสสิตะ เป็นอัญญมะเหฐะยานะ เป็นอุปะวะเทยยะ
พอนิ่งรู้เฉยอยู่ต่อเนื่องไปตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติที่เราฝึกกันด้วยการรู้ลมอยู่ต่อเนื่องนี้ จะทําให้เกิดอุเบกขาคือตัวนิ่งตัวเฉยอยู่มาเป็นฐานให้กับรู้ ณ ขณะที่รู้ ไม่มีความพอใจ ความไม่พอใจ เข้ามาเกี่ยวข้อง
Sun, 28 Jan 2024 - 1h 27min - 722 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 3 - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 8/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งกายตรง มือวางให้ดีนะ มือวางเรียบร้อย วางทิ้ง
ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า รวบรวมความรู้ทั้งหมดวางไว้เหนือริมฝีปากกับปลายจมูก วางไว้แล้วก็นิ่งรู้เฉยอยู่ตรงนั้น และรู้ลมนิ่งอยู่ที่เดียว ลมออกก็รู้นิ่งอยู่ ลมเข้าก็รู้นิ่งอยู่ที่เดียวที่รู้ได้
ลมหายใจไม่ต้องไปบังคับยาว ไม่ต้องไปบังคับสั้น เป็นลมหายใจปกติที่มันสบายๆตามธรรมชาติ ลมธรรมดาอย่างนี้ เรียกว่าลมยาว ไม่ต้องไปกำหนดหมายว่าเราจะต้องไปรู้ลมที่กระทบ แต่ตัวรู้ที่เข้าไปรู้ลมได้ ลมๆนั้นจะเป็นลมที่กระทบจึงจะเป็นลมจริงๆ องค์ภาวนามันจะแยกกันชัดนะ ตัวผู้รู้ที่นิ่งรู้เฉยอยู่ ลมออกที่กระทบเหมือนกับการครูดออกไปเป็นสภาวะหนึ่ง ลมเข้าคือลมข้างนอกที่ไหลเข้าไปแล้วก็กระทบเป็นอีกสภาวะหนึ่ง นิ่งรู้เฉยอยู่ ลมออก ลมเข้า นี่ 3 สภาวะปรากฏ ตัวผู้รู้ทําหน้าที่รู้ลมกระทบออก ตัวผู้รู้ทําหน้าที่รู้ลมกระทบเข้า
ขณะของชีวิตในขณะนี้ไม่มีอะไรอื่น มีแค่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ มีขณะเดียวคือปัจจุบันขณะ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต สภาวะรู้นิ่งรู้เฉยอยู่บริเวณนิมิต มีสติเข้ารู้ลมกระทบออกลมกระทบเข้าอยู่จุดเดียว ทําให้จิตมีอารมณ์อันเดียว คือ ลมออก ลมเข้า ในขณะที่ตัวผู้รู้รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือลมออกลมเข้านั้น อกุศลทั้งหลายเจาะไม่ได้ ความคิดเจาะไม่ได้ ไม่มีการปรุงแต่งอะไร ไม่มีความชอบใจ ไม่มีความไม่ชอบใจใดๆเกิดขึ้น ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้ ไม่มีความอยากใดๆ ไม่มีความโลภใดๆ ไม่มีความโกรธใดๆ ไม่มีความหลงใดๆ ไม่มีอารมณ์อกุศล ความอิจฉาพยาบาท มีแต่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้
รู้ตรงต่อลมที่กระทบออก อย่าปล่อยให้รู้มันล้น ถ้ารู้มันล้นจากลมออกไปไปรู้อย่างอื่น ต้องถอยกลับมานิ่งรู้เฉยอยู่
ในระหว่างที่รู้ต่อลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อยู่นั้น เกิดอุปกิเลสต่างๆสามารถที่จะเข้ามาขัดขวางการรู้ลมได้ เช่นความไม่ยินดีคือไม่ยินดีกับการภาวนา ไม่ยินดีกับการนั่ง ไม่ยินดีกับการรู้ ความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่าอุปกิเลส ความสงสัยในสภาวะทั้งหลาย ก็เป็นอุปกิเลส อกุศลบางตัว เช่น ความเบื่อ ความอึดอัด ความรําคาญ สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ก็พึงรู้ว่ามันเป็นอุปกิเลส มันเกิดขึ้นเพื่อทําให้การภาวนาของเราเศร้าหมอง เป็นตัวที่กัดกร่อนตัวผู้รู้ที่จะตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้นั้นได้ เมื่อผู้ปฏิบัติรู้ว่า สิ่งนี้คืออุปกิเลส อุปกิเลสตัวนั้นก็จะดับไป รู้ก็จะบริสุทธิ์ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือ ลมหายใจที่เป็นธรรมชาติ หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้
กายนิ่งไม่กระสับกระส่าย เกิดเวทนาขึ้นมา ณ ส่วนใดส่วนหนึ่ง ปวดก็ดี พึงรู้ว่ามีความปวดเกิดขึ้น เมื่อรู้ว่ามีความปวดเกิดขึ้นวางความปวดนั้นไว้ แล้วก็ยกจิตกลับไปนิ่งรู้อยู่อย่างอิสระที่นิมิต รู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้า นิ่งๆอยู่ที่เดียวอย่างนั้น ในขณะที่รู้ลมออกรู้ลมเข้า เวทนาคือความเจ็บปวดที่มีนั้นก็ยังคงอยู่ แม้ตัวรู้เขารู้ความปวดนั้นด้วย รู้ลมด้วยไปพร้อมๆกันก็เกิดขึ้นได้ แต่จิตจะไม่ไหลออกไปเพื่ออยู่กับความเจ็บปวดใดๆ หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้ รู้จะมีกําลังยิ่งขึ้น ส่วนลมก็จะมีความละเอียดเบาบางลงไป บางครั้งลมหายใจเข้าแรงมันก็จะหยาบขึ้นมา แต่พอรู้ต่อเนื่องไปสัก 2-3 คู่ลม ลมก็จะละเอียดเบาบางลง แต่รู้จะมีกําลังเพิ่มขึ้น ลมละเอียดเบาบางลงไปก็รู้ ละเอียดจนกระทั่งแทบจะหยุด นอกจากละเอียดแล้วมันสั้นลงด้วย ลมออกสั้นตัวผู้รู้ก็แค่รู้ว่าลมสั้นตามความเป็นจริง ลมเข้าก็สั้นผู้รู้ก็รู้ตามความเป็นจริงที่ลมเป็นอย่างนั้น บางครั้งลมหยุด นอกจากสั้น ละเอียดแล้ว ลมมันหยุดนานๆ ตัวรู้ก็อยู่กับความนิ่ง นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระในบริเวณนิมิต นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างนั้น มีความนิ่งเป็นอารมณ์ เมื่อมีลมหายใจเกิดขึ้นก็รู้ลมออกรู้ลมเข้าอย่างเดิม ลมหายใจออกลมหายใจเข้าที่ละเอียดเบาบางสั้น บางครั้งเขาหยุดและเว้นระยะ ในแต่ระยะที่ไม่มีลมหายใจออกไม่มีลมหายใจเข้า รู้ก็นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระอย่างนั้น มันจะเกิดมาเป็นสีเกิดมาเป็นแสงเกิดมาเป็นอะไรก็เรื่องของเขา เรื่องของสิ่งที่ถูกรู้ ตัวรู้ทําหน้าที่แค่รู้เฉยๆ ตรงๆ รู้ไปตรงๆตามความเป็นจริงแล้วก็จบมันลงไป ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปหวังอะไร ไม่ต้องไปหาความหมายใดๆในสิ่งที่ปรากฏ แค่รู้ตามความเป็นจริงเท่าที่ปรากฏนั้น แล้วก็จบในสภาวะแต่ละสภาวะนั้นผ่านไป
ต่อแต่นี้ ขยับนิ้วมือขวา นิ่งรู้เฉยอยู่รู้สึกถึงนิ้วที่ขยับ ยกมือขวาขึ้น เลื่อนมือขวาไปวางไว้ที่เข่าข้างขวา ขยับนิ้วมือซ้าย ยกมือซ้ายขึ้น แล้วเลื่อนมือซ้ายไปวางไว้ที่เข่าข้างซ้าย นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ผงกหน้านิดหนึ่งแล้วก็ลืมตา
Sun, 28 Jan 2024 - 32min - 721 - ตอบคำถามการปฏิบัติ - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 7/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
คําถามที่ 1 ตอนเดินจงกรมและตอนนั่ง รู้สึกปวดตึงบ่าและไหล่มาก พยายามคลายความเกร็งแล้วแต่ก็ยังเจ็บ การเป็นอย่างนี้เกิดจากอะไรและต้องแก้ไขอย่างไร
คําถามที่ 2 การเจริญอานาปานสติ เหตุใดจึงกําหนดนิมิตตรงตําแหน่งเหนือริมฝีปากกับปลายโพรงจมูก
คําถามที่ 3 การรับรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกจําเป็นต้องหลับตาเสมอไปหรือไม่เพราะเหตุใด
คําถามที่ 4 ในชีวิตประจําวันที่เราเจริญอานาปานสติรู้ลมหายใจเข้าออกก็ต้องลืมตา ดังนั้นตอนฝึกสามารถลืมตาได้หรือไม่
คําถามที่ 5การฝึกเจริญอานาปานสติในรูปแบบควรฝึกวันละเท่าใด และควรฝึกเวลาใดจะได้ผลดีที่สุด
คําถามที่ 6 การเดินจงกรมเป็นวิธีหนึ่งในการเจริญอานาปานสติได้หรือไม่
คําถามที่ 7การเดินจงกรมเป็นกุศโลบายหนึ่ง เป็นวิธีการเพื่อนําไปสู่การมีสติในการเคลื่อนไหวในชีวิตประจําวันใช่หรือไม่อย่างไร
คําถามที่ 8 ในคลิปเสียงการเดินจงกรมของหลวงพ่อที่เปิดช่วงสายของวันนี้ มีคําว่า “รู้” กับ “รู้สึก” มีความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คําถามที่ 9 ในการฝึกเดินจงกรมประจําวันควรกําหนดเวลานานแค่ไหนและควรฝึกช่วงเวลาใดที่จะได้ผลดีที่สุด
คําถามที่ 10ถ้าจะอ่านหลักธรรมควรเริ่มต้นจากหนังสือเล่มไหน
คําถามที่ 11การปฏิบัติธรรมมีลําดับขั้นของการปฏิบัติว่าผู้ปฏิบัติได้บรรลุถึงลําดับไหนแล้วคะ
คําถามที่ 12 อยากเรียนถามว่าเราจะมีวิธีตรวจสอบอย่างไรในการที่เราปฏิบัติตามแล้วถูกต้องถูกทาง
คําถามที่ 13 เชื่อมจิตคืออะไรและมีจริงหรือไม่
คําถามที่ 14 คําว่าอุเบกขาที่ว่าตั้งมั่นจนเป็นอุเบกขา มันคืออุเบกขาในพรหมวิหาร 4 ใช่ไหม
คําถามที่ 15 เราสามารถใช้การดูลมนี้ในชีวิตประจําวันได้ไหม
ต้องมั่นคงกับการรู้ต่อสภาวะที่ปรากฏ คือ ทุกสภาวะที่ปรากฏไม่ใช่เป้าหมาย เราไม่ต้องไปสงสัยในสภาวะใดๆแค่รู้เท่านั้น อาตมาก็เคยอ่านเจอว่าคนที่รู้ลมหายใจแล้ว พอมันสว่างอย่างนี้ปั๊บแสดงว่าเป็นผลบุญจากการตักบาตร ผลบุญจากการรักษาศีล อย่างนี้ทําให้เราหลงเข้าไปในสภาวะ เรียกว่า หลงต่อสภาวะ เหมือนนั่งรถไฟไปเชียงใหม่แต่ไปถึงสระบุรี พอเห็นสวนดอกไม้ข้างทางมันสวยอดใจไม่ไหว ลงจากรถไฟไปสวนดอกไม้ การเดินทางไปเชียงใหม่ก็สิ้นสุดลง ดังนั้นจําคํานี้ไว้เลย พระพุทธเจ้าเรียกว่า ญาณมตฺตาย เพียงแค่รู้ เท่านั้น อะไรมันเกิดก็เกิดไปสิ เกิดได้ทั้งหมดเลยทุกอย่าง ในตัวของสภาวะมันสามารถที่จะเกิดได้กับทุกคน เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง เราทําอย่างไร พระเจ้าบอกว่า
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ
พิจารณาเห็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นในกายอยู่
วยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ
พิจารณาเห็นธรรมชาติที่เสื่อมไปในกายอยู่
สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ
พิจารณาเห็นซึ่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไปในกายอยู่
คือ ก็แค่รู้ตามความเป็นจริงของมันที่แสดงออกมา แล้วเราก็อยู่กับลมต่อไป แค่รู้อย่างนี้ก็จะไม่ตกรถไฟ ถ้าแค่สงสัยนี่ก็กําลังจะตกรถไฟแล้วนะ ไม่ต้องไปสงสัยอะไรกับมันทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ รู้ตามความเป็นจริง แล้วสิ่งที่ปรากฏก็แค่รู้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็แค่สิ่งที่ถูกรู้ ถามว่า ปฏิบัติยังถูกอยู่ไหม ยังมีลมอยู่ไหม รู้ลมได้อยู่ไหม เดินไปกับลมได้ต่อไหม
เรื่องของการปฏิบัติพยายามอย่าไปคิด ไม่สามารถตอบโจทย์ได้นะด้วยการคิด แล้วก็ให้มันตรงๆ อาตมามีคําหนึ่งกับคนเก่าๆจะรู้กันดีว่า ตรง จริง จบมันต้อง ตรง จริง และต้องจบให้เป็นนะ ถ้าจบไม่เป็นนี่คิดกันบานตะไท ตรง กงของรู้นะ ตรง หมายความว่า เมื่อรู้นิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ รู้นี้จะตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ ตรงเลย ลมออกมาที่กระทบต่อกายประสาท รู้ตรงต่อลมที่กระทบ ลมกระทบนี้ และรู้ตรงต่อลมนี้ ลมนี้จะต้องเป็นลมจริงๆนะ ลมจริงๆคือลมกระทบนั่นเอง ลมที่กระทบกับกายประสาท ที่มันไหลออกมาแล้วมันกระทบ ไหลเข้าไปแล้วกระทบ รู้ตรงต่อลมนี่ ทั้ง 2 อย่างมันเกิดขึ้น รู้ตรงต่อลมที่กระทบ ลมที่เป็นลมจริงกระทบ พอกระทบปั๊บจบ รู้ต้นลมกลางลมปลายลม รู้ปั๊บจบ มันจบเลย แล้วมันก็หายใจเข้าก็กระทบใหม่ ก็ตรงจริงจบ ต้องจบให้เป็น ถ้ามีสภาวะอะไรเกิดขึ้นมา แค่รู้แค่รู้ต่อสภาวะที่ปรากฏแล้วก็จบ เพราะตอนนี้ที่กําลังถามอยู่ กําลังพูดอยู่ คือ เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นมาและจบไปแล้วถูกไหม มันจบไปแล้วแต่มันไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าแค่รู้นี่หมายความว่า ต้องจบให้เป็น พอมันผ่านไปก็จบ ไม่ต้องไปติดค้างคา ไม่ต้องไปสงสัยอะไร เพราะมันจบไปแล้ว ต้องฝึกจิตให้เรียนรู้ในเรื่องของตัวจบนะ ถ้าจบไม่เป็นมันจะคาอยู่นั่น แล้วมันก็จะรัดรึงสร้างแต่ความสงสัย สร้างความคิดปรุงแต่ง จนเกิดเป็นคําถาม จนเกิดเป็นความอยากรู้ แล้วเราก็ไม่ได้ตรงต่อกิจที่จะต้องทําอย่างตรงไปตรงมา
Sun, 28 Jan 2024 - 1h 22min - 720 - อานาปานสติ - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 5/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร อานาปานสติ คือ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เป็นกรรมฐานหรือเป็นการปฏิบัติธรรมที่เหมาะกับทุกๆจริต เพราะว่าตัวลมหายใจมีอยู่ทุกคน ในการเจริญสติปัฏฐาน สติต้องตามพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ถ้าภาวนาแล้วอารมณ์ภาวนาของเรามันหลุดออกไปจากกาย อาจจะเป็นดิ่งลึกอยู่กับอารมณ์อันใดอันหนึ่งหรือสภาวะอันใดอันอื่น ถ้าสภาวะนั้นไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายในกาย ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่เวทนาในเวทนา ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่จิตในจิต ไม่ใช่สภาพธรรม และไม่ใช่สภาพธรรมในธรรม แม้นว่าเราจะดิ่งลึกลงไปแค่ไหนในอารมณ์ของสมาธิ เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงตัวธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนได้
ภวังคจิตคือ จิตตอนที่เข้ามาปฏิสนธิ นึกภาพเด็กคนหนึ่งที่นอนอยู่ในท้องของมารดา ไม่ได้เชื่อมต่อกับอายตนะไม่ได้เชื่อมต่อกับอะไร เมื่อโตขึ้นมาอายตนะแข็งแรงแล้วไปเสวยอารมณ์ต่างๆคือวุ่นวายไปหมด คราใดที่ไม่ได้เสวยอารมณ์ครานั้นก็เป็นภวังคจิตแต่มันมีความไม่รู้อยู่ ครั้นมาเสวยอารมณ์วุ่นวายอยู่กับโลก สั่งสมความรู้ความจําความเชื่อ พอภวังคจิตนั้นไม่สามารถที่จะคลี่คลายสิ่งที่มันย้อมจิตอยู่ได้ เมื่อไปเสวยอารมณ์มันก็รักโลภหลงเหมือนเดิม
การทําสมาธิแบบเดิมๆที่มุ่งผลเพื่อแค่ความสงบ มุ่งผลเพียงแค่ให้จิตนิ่งไม่ต้องไปคิดอะไร มุ่งผลเพียงแค่นี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทํามาตลอดก่อนตรัสรู้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ด้วยวิธีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการเรียนรู้กายเรียนรู้ใจที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตรัสรู้เพราะว่าพอมุ่งไปที่ฐานกายฐานใจ มันเกิดสติ สมาธิ และปัญญา ดังนั้นสติ สมาธิ และปัญญาจะไม่เกิดกับภวังคจิตโดยธรรมชาติ ไม่เกิดกับภวังคจิตที่เกิดขึ้นจากการที่เราไปตั้งอารมณ์แล้วนึกหน่วงอารมณ์ไว้อารมณ์หนึ่งเป็นอารมณ์เดียวที่ไม่ใช่กายไม่ใช่ใจ
คําสอนของพระพุทธเจ้าจึงหยุดลงที่สติปัฏฐาน คือ มีกายและใจเป็นฐานที่ตั้งของสติ สติจะตามรู้กายรู้ใจอยู่ตลอดจึงจะบ่มมีความตั้งมั่นขึ้นมาได้ สมาธิความตั้งมั่นที่เป็นนั้นจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ ความเห็นที่เกิดก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ ความคิดที่เกิดก็จะเป็นสัมมาสังกัปปะ การกระทําก็จะเป็นสัมมากัมมันตะ การพูดก็จะเป็นสัมมาวาจา
พระพุทธเจ้าตรัสย้ำว่า
อานาปานสติ อันบุคคลใดทําให้มากแล้วเจริญให้มากแล้วจะทําให้สติปัฏฐานทั้ง 4 บริบูรณ์
สติปัฏฐาน 4 อันบุคคลใดบําเพ็ญให้มากแล้วทําให้มากแล้ว จะทําให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์
โพชฌงค์ 7 อันบุคคลใดอบรมแล้วทําให้มากแล้ว จะทําให้ได้วิชชาและวิมุตติ
สติที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นกาย สตินั้นเรียกว่าตั้งอยู่ในสติปัฏฐาน เมื่อเป็นสติปัฏฐานขึ้นมาอยู่เรื่อยๆจนสมบูรณ์ขึ้นมา ก็จะเป็นอานาปานสติปัฏฐานที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ขึ้นมาก็จะเป็นโพชฌงค์ ตัวหลักขององค์โพชฌงค์ก็คือ อุเบกขา โพชฌงค์ทั้ง 7 จะเกิดตลอดเวลาในขณะที่ตัวสติรู้ตรงต่อลมอันเป็นธรรมชาติแต่จะมีกําลังเพิ่มขึ้นตามฐานที่มั่นของตัวรู้ ตามกิจที่เราเพียรภาวนา จนในที่สุดแล้วตัวอุเบกขามันมีกําลังอยู่เป็นฐานอยู่ที่รู้ จิต ณ ขณะนั้นเรียก อุเบกขาสติปาริสุทธิ คือ สติที่บริสุทธิ์อันมีอุเบกขาเป็นฐาน ทั้งหมดที่เราฟังนี้ดูมันเยอะมากเลย เราสงบลงแค่รู้ลมอย่างถูกต้อง นี่คืออานาปานสติ แล้วธรรมะที่เป็นลําดับแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นลําดับแห่งการเข้าถึงธรรมอันสูงสุดของสาวกของผู้ปฏิบัติ แม้กระทั่งของพวกเราทุกคน เรียก โพธิปักขิยธรรม 37
- สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
ทั้งหมดนี้จะเกิดด้วยลมหายใจ แค่ลมหายใจอย่างเดียวได้ทุกอย่างเราผู้ปฏิบัติไม่ต้องทําอะไรมาก แค่วางตัวรู้นิ่งรู้เฉยอยู่ แล้วก็รู้ลมไปเรื่อยๆ แล้วรู้ตัวนั้นพอมีความตั้งมั่นมาเป็นฐานให้ เขาจะมีกําลังกระจายตัวรู้ออกไปๆ ก็เรื่องของรู้ กิจของผู้ปฏิบัติก็เพียรรู้ไว้อย่างเดียว ไม่เข้าไปทําอะไร ไม่เข้าไปแทรกแซงรู้
ในการรู้ลมหายใจสําหรับผู้ฝึกเบื้องต้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กายไม่กระสับกระส่าย กายไม่เอียงเอน ใจไม่กระสับกระส่าย ใจไม่กวัดแกว่ง จะทําให้เข้าอานาปานสติสมาธิได้ง่าย แล้วก็ได้เร็ว
พระพุทธเจ้าจึงสอนอานาปานสติเป็นเบื้องต้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพราะตัวผู้รู้ที่รู้ลมหายใจ นิ่งรู้เฉยอยู่นั้น หลังจากนั้นมันจะไปรู้ในอิริยาบทใหญ่ เรียกว่า ในกิริยาชีวิตนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทํา พูด คิด คู้ เหยียดเหลียวซ้าย เหลียวขวา ทุกๆกิริยาของชีวิตตัวรู้ตัวนี้จะเข้าไปทําการรู้หมด พอเขารู้ทัน เขาเรียกว่า รู้สึกตัวตลอดเวลา
Sat, 27 Jan 2024 - 39min - 719 - สภาวะจากการเดินจงกรม รู้อยู่ข้างใน - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 3/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
หลังจากเดินเป็นอย่างไรบ้าง เวลาเรามึนหัวเกิดจาก 3 สาเหตุ เพ่งเกินไป ตั้งใจเกินไป คือ ตั้งใจว่าไม่ให้ใจมันหลุดออกไปคิด ซึ่งใจเรานี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่คิด พอเราตั้งใจว่าจะไม่ให้มันคิด นั่นหมายความว่าเรากําลังอยู่ในการบังคับจ้องเพ่ง เราเคยชินกับการพยายามที่จะให้ทุกอย่างอยู่ในอํานาจของเราไม่เว้นแม้แต่การปฏิบัติธรรม พึงรู้ไว้นั่นคือเส้นทางของอาสวะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส ส่วนเส้นทางของธรรมะต้องถอยกลับมาจากสิ่งนั้น กลับมาแบบตั้งต้นเลยแบบเบาๆสบายๆ ความคิด ความกังวล ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมันเอาใจเราไปหมดเลย แล้วเราก็พยายามที่จะหลีกหนี ควบคุม พอเราฟังธรรมะเข้าใจว่าต้องรู้ในกิริยารู้ในการเคลื่อนไหว เราก็มาแบบเดิมเลย จะต้องควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมด ต้องรู้เท่าทัน รู้ทุกอย่าง นั่นคือการออกไปเพื่อทําการควบคุมทุกอย่าง มันเป็นเราไม่ใช่รู้
ถ้าเรายืนนิ่งๆให้สบายๆสงบนิ่งๆ แล้วให้รู้อยู่อย่างนี้ แม้มีความตั้งใจในการยก ไม่สนใจในเรื่องของความตั้งใจ ตัวรู้เฝ้ารู้นิ่งเฉยอยู่ ถ้าเดินด้วยความว่าเรา มันก็จะเพิ่มพูนคําว่าเรา อัตตาตัวตนจะเพิ่มไปหมด แต่ถ้าเริ่มด้วยรู้ รู้นี้คือมันอยู่ข้างใน นิ่งอยู่ พอส้นยกขึ้นก็รู้ว่าส้นยกขึ้น ถ้าเราใช้สายตาเรามอง ตามองตรงนี้แต่มันเห็นนี่ เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นหมดเลยแต่โฟกัสอยู่ที่เดียว รู้ที่ว่านี้ถ้าอยู่ข้างในนี้ มันไม่ใช่รู้อย่างเดียวนะ การที่ไปรู้อย่างเดียวนั่นคือเรา บังคับจ้องเล็งเพ่งไป ส้นยก เท้าย่าง เหยียบ จะได้อย่างเดียว แต่ถ้ารู้ไม่ใช่ รู้มันสบายๆ อยู่ข้างใน พอส้นยกขึ้นก็รู้ แต่รู้อยู่ข้างใน ย่างไปก็รู้ เหยียบไปก็รู้ รู้แบบเบาๆไม่ใช่รู้หนักๆ สิ่งที่ถูกรู้จะเป็นตัวถูกรู้ชนิดที่รู้ที่เราไปตามการแตะรู้นี้ จะแตะเบาๆ ไม่ได้แตะหนักๆ พอแตะหนักๆปั๊บหลุดเลยเป็นเรา รู้จะอยู่ข้างในไม่ได้ ความที่เป็นเราจะต้องแบบแตะหนัก ชัดเจน แจ่มแจ้ง
การฝึกของพระพุทธเจ้า ฝึกให้รู้รู้ในกิริยาที่เป็นธรรมชาติแล้วออกไปใช้ในชีวิตจริง อยู่กับกิริยาชีวิตได้ ในการรู้ลมต้องฝึกให้มากเพื่อที่จะให้รู้ตั้งมั่น คุ้นชินอยู่กับข้างใน เบื้องต้นในการฝึกเราต้องอาศัยให้รู้มีลมเป็นเครื่องอยู่ก่อน และรู้ที่จะรู้ลมเป็นครื่องอยู่ ก็คือ รู้ ที่รู้ลมเป็นธรรมชาติ
ถ้ารู้ที่เป็นอิสระนิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็รู้ลมที่เป็นจริง แม้นว่าเป็นลมที่บังคับ แต่รู้ไม่สนใจเรื่องของการบังคับ สนใจแค่ลมที่เป็นจริง แต่ตัวมันเองนิ่งเฉยอยู่ข้างใน รู้อย่างนี้เมื่อรู้ต่อไปเรื่อยๆ ความกําหนดตั้งใจที่จะไปสู่ลมจะไม่มี ตัวรู้ก็จะรู้ลมที่เป็นจริงตามธรรมชาติขึ้นมาในระยะปลายเมื่อมันตั้งมั่นแล้ว
เหมือนกันกับกิริยาที่เราเดิน ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างในก็จะเป็นเราไปหมด รู้จะไม่มีความตั้งมั่น จิตจะไม่มีความตั้งมั่น การรู้ในกิริยาเดินก็ดี รู้ลมก็ดี ทั้งหมดนี้จะบ่มความตั้งมั่นของจิต ให้ตั้งมั่นอยู่ข้างใน
เมื่อรู้อยู่ข้างในเสียงกระทบปั๊บ มันรู้เลย พอรู้เสร็จแล้วถ้าเกิดความเข้าใจก็จะลงใจเป็นปัญญาของใจไปเลยไม่ต้องไปคิดอะไร รู้อยู่ข้างในอย่างนี้เรียกว่า รู้อยู่กับความตั้งมั่น เป็นที่ตั้งของธรรม อันนี้ที่เรียกว่าสติปัฏฐาน คือ ตัวรู้ตัวที่เป็นสตินี้ มีฐานของมันอยู่ข้างใน สติหรือตัวรู้จะต้องมีฐานเป็นที่ตั้งอยู่ข้างใน และฐานนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของการเรียนรู้ ไม่ใช่การบังคับของเราถ้าเราสามารถบังคับให้จิตเป็นสติปัฏฐานได้
ลองหลับตาแล้วเอารู้อยู่ภายใน ถ้าลมมาก็รู้ลมไปด้วย หูได้ยินเสียง ได้ยินแต่รู้อยู่ข้างใน รู้อยู่ข้างใน ได้ยินเสียงด้วย ลมมาก็รู้ด้วย ร่างกายมีอาการใดๆแสดงออกมา เขาก็ทําหน้าที่แค่นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระอยู่ที่เดียว กายแสดงอาการอันใดออกมาก็รู้ ลมมาก็รู้ เสียงที่พูดออกไปกระทบกับหูก็รู้ แต่ไม่หลุดออกมาปรุงใดๆจากเสียงที่ได้ยิน ไม่หลุดออกไปปรุงใดๆจากกล้ามเนื้อที่กระตุก ไม่หลุดออกไปเพื่อจะปรุงสิ่งใดๆจากที่กระทบขึ้นมาที่มันรู้ อย่างนี้รู้อยู่ข้างใน รู้ที่อยู่ข้างในจะรู้อาการการแสดงของกายของใจได้ ถ้าหลุดออกไปคิด รู้ก็รู้ว่าความคิดเกิดขึ้น แค่นั้นเอง
ให้พวกเราได้สัมผัสสภาวะรู้นี้ไว้ และรู้ตัวนี้แหละที่จะทําหน้าที่วางฐานของสติ ให้สติอยู่กับฐานที่ถูกต้อง และสติที่อยู่กับฐานกายฐานใจ คือ ฐานของสตินี้ ถ้าสติตั้งอยู่ที่ฐานนี้ได้ด้วยการเพียรรู้ ก็จะเป็นสติปัฏฐานทันที ถ้าเป็นสติปัฏฐานเมื่อใด เมื่อนั้นเราเดินอยู่ในเส้นทางที่เรียกว่าเอกายนมรรค คือ เป็นเส้นทางเส้นเดียว ช่องทางเดียวที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนํามาชี้สําหรับผู้ที่จะดําเนินไปเพื่อ สตฺตานํ วิสุทฺธิยา คือ เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ของผู้ปฏิบัติ
Fri, 26 Jan 2024 - 20min - 718 - การนั่งภาวนาและเดินจงกรม - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 2/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พอเกิดมาใหม่ๆ ตาซึ่งใจจะไปอาศัยยังไม่แข็งแรง หูที่ใจจะต้องไปอาศัยไม่แข็งแรง จมูกลิ้นกายประสาททั้งหมด เรียกอายตนะยังอ่อน ใจเลยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ในการที่จะเรียนรู้เรื่องโลก มันเลยนิ่ง รอการเรียนรู้ ในระหว่างที่ใจนิ่งอยู่นั้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของใจ คือ มันต้องรู้ เราลองนั่งเฉยๆ ใจมันเป็นธาตุรู้แต่มันไม่รู้อะไร มันเริ่มต้นจากการที่ไม่รู้อะไร พอไม่รู้อะไรความไม่รู้นี้จึงอยู่ที่ใจ แต่มันมีความไม่รู้มันก็มีความรู้อยู่ในตัวเดียวกัน พื้นเดิมของใจแม้จะผุดผ่องเป็นธาตุรู้ แต่มันมีความไม่รู้เป็นปกติ ด้วยความไม่รู้นี้เป็นความมืดของใจ ด้วยความไม่รู้นี้เมื่ออายตนะแข็งแรง ก็เข้าไปเชื่อมรู้กับโลก ได้ไปเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ประกอบกับการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม มีคนสอนบ้าง เป็นประสบการณ์สั่งสมเข้ามา ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่เดิมจึงทําให้ใจเรียนรู้ไปตามสภาพแวดล้อม ความไม่รู้จึงทําให้ใจนี้เรียกหา พอดูรูปนี้ถูกใจ สีนี้ชอบ เสียงนี้ชอบ เริ่มจากที่พื้นเดิมที่ไม่รู้นั้น เลยเอาความไม่รู้นั้นสร้างเป็นฐานขึ้นมา ทําให้เกิดการพอใจและไม่พอใจกับโลกใบนี้ ตัวที่อยากจะอยู่กับสิ่งที่ถูกใจ อยากได้กับสิ่งที่พอใจ อยากมีสิ่งที่ถูกใจ ไม่อยากห่างจากสิ่งที่ถูกใจ นี่คือตัวตัณหา พออวิชชาที่ไม่รู้จึงมีตัณหา ตัณหาจึงอยู่เป็นเพื่อนกับเรา ที่เขาเรียกว่า ตณฺหาทุติโย ปุริโส บุคคลมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน จะไปทําอะไรที่ไหน เราจะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และตัณหาตัวนี้จะเป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติให้กับเรา และเราจะเป็นทุกข์ เราเกิดมาอย่างนี้ เรียนรู้อย่างนี้ จนกระทั่งเราแก่ เราตาย แล้วเราเกิดใหม่ ก็เป็นอย่างเดิมอีกวนลูปอยู่อย่างนี้ เรียกว่าสังสารวัฏ ในเส้นทางที่วนลูปอยู่อย่างนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเจอ นั่นคือความทุกข์ ไม่ว่าเราอยากจะเป็นอะไร อยู่สถานะไหนเป็นอะไรก็ทุกข์ไปกับอย่างนั้น เพราะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ ตัณหาที่เป็นเพื่อนอยู่นี้ คือไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร มันมีความคาดหวังและความต้องการให้ได้ดั่งใจของมันเสมอ และทุกๆความคาดหวังมันจะผิดหวังทุกเรื่อง ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ในการภาวนา เราต้องให้สติ สติคืออะไร สติคือตัวระลึก สัมปชัญญะคืออะไร สัมปชัญญะคือรู้ เรียกรวมกัน สติสัมปชัญญะแปลว่าระลึกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตาม ที่อาตมาพูดว่า ระลึกรู้ นั่นคือ ตัวสติสัมปชัญญะ เวลาระลึกรู้ อย่างตอนนี้ตัวความรู้ทั้งหมดอยู่ทั้งข้างในอยู่ทั้งข้างนอกทั่วไประลึกยกเข้ามาข้างใน ระลึกไปอยู่เหนือริมฝีปากกับปลายโพรงจมูกด้านใน เวลานั่งดูนู่นดูนี่มันก็อยู่คลุมทั่วไปหมด เราก็สงบกายแล้วระลึกเข้ามา อาการที่จิตมันยก ตัวรู้มันยกตัวมันเองเข้ามา นี่เรียกว่า ระลึก ตอนนี้มันอยู่ทั่วไปหมด พอสงบกายขึ้นมา ระลึกเข้าไป ระลึกไปตรงส่วนนี้ปั๊บ รู้คลออยู่ตรงส่วนที่ระลึก
ข้อสําคัญของคนปฏิบัติจะต้องทําหน้าที่แค่รู้เท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะไปมุ่งหวังสิ่งใดกับการภาวนานี้ ถ้ามีเจตนาไปมุ่งหวังว่าเราอยากจะได้อย่างนั้น เราอยากให้มันเป็นอย่างนี้ จบนะ ต้องถอยกลับมา ทําหน้าที่นิ่งรู้อย่างอิสระเฉยอยู่ตรงต่อลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อย่างบริสุทธิ์อย่างนี้เท่านั้นจึงจะเข้าช่องของมัน ช่องๆนี้แหละเป็นเอกายนมรรค เป็นช่องเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สําหรับเป็นประตูนําเข้าไปสู่ธรรม เป็นประตูธรรม คือช่องนี้ ถ้าหากว่ามีเจตนา มีความหวัง มีความคาดหมาย มีการปรุงใดๆเข้าไปเจืออยู่ในการปฏิบัตินี้ อันนั้นมันเป็นเรื่องราวของเรา
ในการเดิน เดินตามสบายให้ตัวผู้รู้ที่เค้ารู้นิ่งอยู่ รู้อาการของการแสดงของกาย การแสดงของกายที่มันแสดงออกมาเป็นอาการ กิริยาทั้งหมดเลยเป็นอาการของกายที่ร่างกายนี้แสดงออกมา ทีนี้พอมันกระสานซ่านเซ็นแล้วก็ดูว่ารู้มันอยู่ข้างในไหม ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างใน ทําอย่างไร หยุด สงบกาย ให้รู้อยู่ข้างในก่อน พอรู้อยู่ข้างในเสร็จแล้ว รู้ก็จะทําหน้าที่รู้ รู้กิริยาที่มันแสดงออกมาว่าหยุด พอรู้อยู่ข้างในได้ แล้วก็รู้ เดินไปเรื่อยๆ
รู้อยู่ข้างในไม่กระโดดไปด้วย เหมือนตาที่เรามองตาหลุดไปด้วยไหม การเห็นที่เป็นกิริยาของตา รู้อยู่นี่นิ่งรู้เฉยอยู่ แต่รู้ที่ไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้นนี้ มันระลึกลงไปรู้ รู้ตัวนี้อยู่นี่ กิริยาของรู้ตัวนี้ที่เขาไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้น แต่เราก็ไม่ต้องไปบังคับมันมากเกินไป บางครั้งมันจะหลุดออกไปเพื่อการรู้ในการยกนี้ก็ไม่เป็นไร แต่พอเห็นมันกระเซ็นมากๆแล้วเราก็หยุดนิ่งสงบกาย เพื่อให้รู้กลับมาสู่ฐานรวบรวมรู้ ทําอย่างงี้แหละสู้กับเขา มิเช่นนั้นเราจะให้ชีวิตเราทั้งชีวิตนี้อยู่ในอํานาจของอวิชชากับตัณหาต่อไปไหมจนเราตาย
Fri, 26 Jan 2024 - 1h 25min - 717 - ปฐมนิเทศ สภาวะ 3 ประการ - การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วัดบุปผาราม (26-28 ม.ค. 67 1/14)
การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
การปฏิบัติธรรมข้อสําคัญอยู่ที่ความเข้าใจ เหมือนที่เราทําอะไรทุกอย่างในชีวิตเวลาเราจะทําอะไรจะต้องมีความเข้าใจ ต้องไปเรียนเพื่อความรู้ความเข้าใจ แต่พอเวลาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปอย่างนั้นเรื่อยๆไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็จะปฏิบัติไม่ได้ เพราะฉะนั้นช่วงเช้านี้ตั้งใจฟังให้ดี ให้เกิดความรู้เกิดความเข้าใจ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้วมันจะทําให้เราปฏิบัติได้ง่าย ก็ปฏิบัติไปตามความรู้ความเข้าใจที่เรามี และก็แนะนําให้วางสัญญา วางความรู้ วางความเชื่อที่มีอยู่นั้นออกไปก่อน เพราะความรู้ความจําความเชื่อที่เรามีติดตัวมามันเป็นตัวสร้างสังโยชน์ที่ชื่อว่ามานะ ทําให้เกิดมานะ การถือดี ถือเขา ถือเรา ถือตัว ถือตน ความรู้ความจําความเชื่อโดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติในเรื่องของความรู้ทางธรรมะที่มีอยู่ให้วางไว้ก่อน
ให้พึงเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องอื่นเป็นเรื่องเรียนรู้ศึกษาตัวเองทําความศึกษาเข้าใจเรียนรู้ลงลึกลงไปถึงตัวตนที่แท้จริง คําว่าตัวตนที่แท้จริงก็คือกายกับใจ กายกับใจเป็นตัวตนที่แท้จริง ไม่มีชื่อ ไม่มีนามสกุล ไม่มีเพศ ไม่มีคุณสมบัติฐานะต่างๆ ไม่มีสิ่งผูกพันใดๆ มีแค่กายแค่ใจที่เป็นชีวิต นี่แหล่ะคือตัวตนที่แท้จริง กิเลสความชั่วร้ายทั้งหลายมันก็ตั้งที่กายที่ใจนี้ ธรรมะมันก็ตั้งที่กายที่ใจนี้
ผลงานของกิเลสทั้งหมดที่มีบทบาทอยู่ในชีวิตของเราไม่ได้ให้อะไรอื่น มันให้ความสุขก็เป็นเพียงมายาเพื่อที่จะหลอกให้เราติดหลงกับมัน สุดท้ายก็ทุกข์ การเห็นภัยของกิเลสว่ามันไม่ได้นําสิ่งอื่นใดมา มันนําความทุกข์มาเป็นตัวสุดท้ายให้กับชีวิต ถ้าเราเห็นภัยตรงนี้ได้นะเราก็จะไม่อาลัยอาวรณ์กับมัน
เห็นคุณของธรรมะ ธรรมะในที่นี้หมายถึงธรรมชาติอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่กิเลส เป็นธรรมชาติที่รู้และเข้าใจกายใจอย่างเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ความรู้ความเข้าใจในกายในใจอย่างแจ่มแจ้งอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง นี่คือเป็นตัวที่ตั้งของธรรมะ
เราจะเข้าไปสู่กายใจที่แท้จริงได้อย่างไร
สถานะของความรู้เมื่อเข้าไปสู่กายสู่ใจได้ มันไม่ปรุงแต่งอะไร เมื่อกายใจแท้ๆมีปัญญารู้เข้าใจกายใจแท้ๆ มันไม่ได้ปรุงแต่งอะไรได้ เพราะการปรุงแต่งมันเป็นเรื่องของสิ่งที่มาห่อหุ้มกายใจ แต่เมื่อมีปัญญารู้และเข้าใจแล้วมันจะไม่ไปปรุงแต่งอะไร ทีนี้ทําอย่างไรให้ความรู้ ความรู้ที่รู้ตรงต่อกายต่อใจนั้นมีกําลัง นี่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติคือการบ่มให้ความรู้ดังกล่าวมีกําลังขึ้นมา พอมีกําลังขึ้นมามันจะเป็นฐานที่ตั้งของธรรมะ มันจะอยู่ข้างใน พออยู่ข้างในเวลามันกระทบปั๊บนะ มันรู้ แต่ตัวที่รู้อยู่ข้างในไม่ได้หลุดออกไป
ธรรมะที่เป็นธรรมชาติที่จะมีบทบาทสําคัญในขณะที่อยู่ข้างใน คือ ตัวปัญญา ปัญญาที่มีอยู่ข้างในนี้เราเรียกว่ามันเป็นตัวรู้อยู่ในนี้จะเท่าทันต่อทุกๆกิริยาที่เกิดขึ้นในชีวิต เท่าทันคือว่าไม่ให้ตัวใจที่มีอยู่ข้างในนี้ไหลออกไป อันนี้แหละ จึงเป็นเส้นบางมากนะระหว่างกิเลสกับธรรมะ ทําอย่างไรให้มันอยู่ข้างใน ก็ทําให้มันแข็งแรง ทําอย่างไรให้มันแข็งแรงก็ด้วยการปฏิบัติธรรม
หลักการของการตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจนี่เป็นเรื่องที่สําคัญมาก เราจะไปใช้วิธีการของคนอื่นไม่ได้เลยนอกจากของพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าตรัสในประโยคหนึ่งว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา (ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตวา) แปลว่า ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า ถ้าพูดภาษาไทยก็คือการตั้งสติ
วิธีการคือทำกายนิ่งๆ นั่งนิ่งๆ แล้วก็ทําความรู้ทั้งหมดที่มี ตรงเข้าไปที่กายเพราะมันต้องอาศัยกาย ตัวรู้วางลงที่กาย วางแล้วให้เขาทํางานอย่างเป็นธรรมชาติ พระพุทธเจ้าได้ศึกษา ได้ตรัสรู้ ได้ค้นพบ เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าจึงสอนสิ่งที่ชื่อว่า อานาปานสติ คือ การรู้ลมหายใจเข้าออก ตั้งสติหรือว่า ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ระลึกรู้ลมหายใจออก เมื่อทําตัวรู้วางไว้ที่กายอย่างเป็นธรรมชาติอย่างเป็นอิสระแล้ว ให้ตัวรู้ทําหน้าที่ในการรู้ลมหายใจไปก่อน เพราะลมหายใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในขณะที่เขารู้ลมหายใจอยู่ กายส่วนใดที่มีการกระเพื่อมอยู่ เขาก็รู้ของเขา ให้เขารู้ของเขาเอง เราไม่ต้องไปตั้งใจ
เมื่อเราดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า วางสติหรือจิตรู้ไว้บริเวณบริเวณเหนือริมฝีปากบน แล้วก็ปลายโพรงจมูก วางนิ่งไว้ตรงนี้ แล้วเดี๋ยวสักครู่หนึ่งมันก็จะรู้ลมหายใจ
ลมซึ่งจะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตัวรู้จะรู้ตรงต่อลมจริงๆ คือ ลมที่มากระทบกับกายประสาทซึ่งเป็นส่วนเหนือริมฝีปากและปลายโพรงจมูก เราจะรู้ลมจริงๆ แรกๆเราจะรู้แค่นี้ แล้วตัวรู้ที่เราวางอยู่ตรงนี้ แล้วมันรู้ลมหายใจ มันก็คือนิ่งรู้อยู่บริเวณนี้อย่างอิสระ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือ ลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ
Fri, 26 Jan 2024 - 55min - 716 - จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ วัดทองเนียม 30 ธ.ค. 66
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม ) วัดบุปผารามวรวิหาร กทม. แสดงธรรมในกิจกรรมบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมวันส่งท้ายปีเก่า 2566 ต้อนรับปีใหม่ 2567 ณ วัดทองเนียม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2566
Sat, 30 Dec 2023 - 1h 36min - 715 - ผลของการเจริญสมาธิ วัดผ่องพลอยวิริยาราม 22 ธ.ค. 66
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร แสดงมหาเถรบูชาเทศนา ในพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน น้อมถวายเป็นอาจริยบูชา ครบ 3 ปี แห่งมรณกาล สมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) ปฐมบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งวัดผ่องพลอยวิริยาราม ณ วัดผ่องพลอยวิริยาราม เขตบางนา กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 เวลา 17:30
Fri, 22 Dec 2023 - 50min - 714 - สมาธิภาวนาคือยอดมงคล ชมรมพุทธศาสน์วังจันทรเกษม 26 ธ.ค. 66
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร แสดงพระธรรมเทศนา ในงานทำบุญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน พระกัมมัฏฐาน จัดโดยชมรมพุทธศาสน์วังจันทรเกษม ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ เวลา 10:00 วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2566
Tue, 26 Dec 2023 - 47min - 713 - ผลของการศึกษาและปฏิบัติธรรม 4 ประการ - วัดบวรมงคลราชวรวิหาร 17 ธ.ค. 66
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผารามวรวิหาร แสดงพระธรรมเทศนา งานพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เอียน ฐิตวิริโย ณ วัดบวรมงคลราชวรวิหาร (ลิงขบ) แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐:๐๐ น.
Mon, 18 Dec 2023 - 35min - 712 - ปัจฉิมนิเทศ ทำไมเราจึงต้องปฏิบัติธรรม - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 21/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ทําไมต้องฟังธรรม เพราะถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ใช่ไหม แล้วทําไมเราต้องปฏิบัติธรรม เพราะถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็หมดโอกาสในการที่จะออกจากวัฏฏะ ปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีโอกาสออกจากวัฏฏะ ที่เขาเรียกปฏิบัติธรรม ทําไมต้องรักษาศีล สมาธิ และปัญญา คือ มรรค เรารักษาศีลเพราะถ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อศีลในแต่ละข้อ จิตจะดิ่งลงสู่ภูมิแห่งอบายทันที ถ้าจิตดิ่งลงสู่ภูมิแห่งอบายทันทีมันยากแล้ว เพราะฉะนั้นเบื้องต้นก็ต้องพยุงรักษา ศีลจึงเป็นข้อปฏิบัติที่คอยพยุงรักษาภูมิแห่งจิต ไม่ให้ดิ่งลงอบาย อบาย คือ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน มันเกิดขึ้นในขณะจิตที่เป็นปัจจุบันนี้นะ คือ ถ้าในขณะจิตที่เป็นปัจจุบันนี้เป็นเปรต ถ้าตายไปในขณะที่เป็นเปรต มันก็เป็นเปรต เป็นอสูรกายมันก็เป็นอสูรกาย เป็นนรกมันก็เป็นนรก ในขณะที่เป็นนรกอยู่ แล้วเศษเสี้ยวของความเป็นนรก เป็นนรกอยู่นานมากแล้วก็หลุดจากความเป็นนรก เศษเสี้ยวของการหลุดออกมาจากการเป็นนรก เศษเสี้ยวของมันเขาเรียกว่า เศษวิบาก เศษเสี้ยวที่เหลือของการอยู่ในนรก เป็นนรก ก็จะมาเป็นอันนู้น อันนี้ อันนั้น อีกหลายเรื่องเลย ถ้าพื้นจิตนี้มันดิ่งลงไปอยู่ในภูมิอะไร ในกามาวจรภูมิ คือ ภูมิที่ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกามนี้ มันมีโอกาสเสี่ยงมากกับการที่มันจะร่วงลงไปเป็นนรกภูมิ เป็นปิตติวิสยภูมิ เป็นอสูรกายภูมิ เป็นติรัจฉานภูมิ คําว่าภูมิในที่นี้ คือ ตัวจิต ถ้ามันชอกช้ำบ่อยๆ ผิดหวังบ่อยๆ ภูมิจิตมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นเปรต นรก อสูรกาย ติรัจฉานภูมิ ทั้งหมดนี้อยู่ที่นี่ ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามกําลังของอวิชชา
พระพุทธเจ้าบอก
ยสฺส ติณฺโณ กามปงฺโก หล่มคือกามอันบุคคลใดข้ามได้แล้ว
มทฺทิโต กามกณฺฏโก หนามคือกามอันผู้ใดขยี้ได้แล้ว
โมหกฺขยมนุปฺปตฺโต ถ้าข้ามได้ ขยี้ได้ มันจะถึงการสิ้นไปของโมหะโดยลําดับ
โมหะมาจากอวิชชาใช่ไหม อวิชชาและก็โมหะ ถ้ามันข้ามหล่มคือกาม ขยี้หนามคือกามไม่ได้ นั่นหมายความว่ามันอยู่ในกระบวนการที่การทําลายโมหะไปโดยลําดับ มันถึงความสิ้นไปของโมหะโดยลําดับ มันซ่อนอยู่ภายใน ถึงความสิ้นไปของโมหะโดยลําดับ
นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ผู้นั้นชื่อว่าอยู่ในที่ใกล้พระนิพพาน
ทีนี้ถอยกลับไปดูประโยคแรก ยสฺส ติณฺโณ กามปงฺโก หล่มคือกามอันผู้ใดข้ามแล้ว ข้ามมันมีอยู่ 2 แบบนะ ถ้าเรายืนอยู่อย่างนี้ หล่มมันอยู่ข้างหน้า ข้ามมันก็คือ เดินข้ามไปตรงๆ ซึ่งมันอาจจะข้ามไม่ได้นะมันติดหล่มใช่ไหม หรือหาวิธีใดก็ได้ที่เดินข้ามหล่มคือกามนี้ ลองนึกดูนะ หรืออีกวิธีหนึ่ง ไม่ต้องไปใกล้มันเลย ท่านพูดแบบนี้หมายความว่า ตัวรู้เดิมไม่ได้จมอยู่ใน แต่อวิชชามันไม่รู้ จึงทําให้หลงเดินเข้าไปสู่หล่ม ลงไปในหลุมแห่งกาม ลงในบ่อกาม ในสระของกาม ตัวเดิมมันยังไม่ลงนะ มันลงเมื่อตอนที่เป็นอวิชชาและเป็นโมหะคือหลง หลงแล้วก็เดินลงไปในหล่ม พอหลงเดินไปในหล่มแล้วมันก็ติด ติด 2 แบบ แบบหนึ่งอยากถอนตัวออกมา แต่ยิ่งดิ้นยิ่งลึก อีกแบบหนึ่ง ชอบใจติดใจเพลินก็ดําผุดดําว่ายอยู่ในหล่มนั้น ตอนแรกยังไม่ลงเพราะอวิชชาและโมหะทำให้ไม่รู้แล้วก็หลงเดินลงไป นี่ว่ากันด้วยสภาวะล้วนๆนะ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า มันไม่ได้หล่นลงไปในหล่มนี้ตลอดเวลา สภาพจิตเราไม่ได้หล่นลงไปในหล่มคือกามนี้ตลอดเวลา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ให้ตั้งสติแล้วก็รู้ตรงไปที่กายแท้ๆ พอตั้งสติ หมายความว่าเวลาตั้งสติมันคือ ยืนอยู่ในฝั่งที่ไม่สามารถที่จะเดินลงไปในหล่มได้เมื่อตั้งสติ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวามันไม่สามารถที่จะเดินลงไปในหล่มได้ แต่การที่มันเดินลงไปในหล่มและอยู่ในหล่มนั้นบ่อยครั้ง ตัวอวิชชา ตัวโมหะ เมื่อลงไปในหล่ม มันก็ได้สั่งสมสิ่งซึ่งชื่อว่าอนุสัย เคลือบอยู่ ตามฐานะที่เรียก อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ คือเป็น ตัวจรมา เคลือบอยู่ อยู่ตรงนี้อยู่ แต่เมื่อเราตั้งสติตามที่พระพุทธเจ้าว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวาลงไปที่กายแท้ๆ วางผู้รู้อยู่ที่นิมิต นิ่งรู้ถึงขั้นที่เรียกว่า เอาตั้งแต่แรกเลยก็ได้ ตั้งแต่เริ่มเลย วางจิตผู้รู้ไว้ที่นิมิตและทําการรู้ลมตรงนี้รู้ลมเข้า รู้ลมออก เมื่อใดที่ตัวรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ ทําตรงนี้ให้เป็นปัจจุบันขณะที่แท้ๆ ตัวรู้ที่รู้อยู่นั้นเป็นปัจจุบันธรรม ลมที่เกิดในขณะเดียวกันกับตัวผู้รู้เป็นปัจจุบันกาล ปัจจุบันกาลกับปัจจุบันธรรม เรียกว่า ปัจจุบันแท้
Tue, 12 Dec 2023 - 1h 25min - 711 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 8 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 20/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เข้าสู่การภาวนา ง่ายๆสบายๆนะ เอาความรู้ทั้งหมดที่ฟัง ทําความเข้าใจเสร็จ แล้วเข้ามาตรงเลย ง่ายๆสบายๆ นิ่งรู้เฉยอยู่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติคือลม ไม่ต้องไปตั้งใจรู้อะไร
อย่าไปคิดว่าเรากําลังปฏิบัติธรรม เราก็จะต้องเปิดมิติทางความรู้สึกใหม่ เพื่อให้มันจะได้เป็นปัญญา ขณะนี้เรากําลังจัดการรังสรรค์ชีวิต เรากําลังจะอยู่กับกฎของธรรมชาติอันเป็นสัจจะแบบหนึ่ง เหมือนกับว่ากิเลสมันมีอํานาจ มันรังสรรค์ให้ชีวิตของเราเดินตามมัน เรากําลังรังสรรค์ชีวิตใหม่ด้วยกฎของธรรมชาติที่มันไม่ใช่กิเลส จะได้เปลี่ยนทัศนะต่อการปฏิบัติธรรมให้กับตัวเอง เอาความเข้าใจความรู้ที่มีอยู่จากการฟังนี้ วางตัวผู้รู้นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระที่นิมิต รู้ตรงต่อลมออกลมเข้าอันเป็นธรรมชาติ
แค่สงบกายปั๊บมันก็ปรากฏแล้ว นั่นน่ะมันเป็นสภาวะที่เรารู้จักแล้ว ปกติสภาวะนี้ ธาตุนี้เป็นธาตุรู้อยู่ที่กายแต่หามันไม่ได้ หามันไม่เจอ ไม่มีตัวสแกน แต่ตอนนี้มันนิ่งรู้เฉยอยู่ที่นิมิต ปลีกออกจากการเป็นกามวิเวก ปลีกออกจากอกุศลเป็นอกุศลวิเวก นิ่งรู้เฉยอยู่ ทําหน้าที่รู้ มีสติตรงต่อสภาวะที่ปรากฏ มีสติต่อลมหายใจ มีสติรู้ลมหายใจออก มีสติรู้ลมหายใจเข้า ในขณะที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ก็รู้ไป ตอนนี้รู้ว่ามีนิ่งเป็นวิหาระ เรียกว่า มีอุเบกขาเป็นวิหาระ นิ่งรู้อยู่
นิ่งรู้เฉยอยู่อิสระสบายๆ ไม่ต้องคาดว่ามันต้องมีกําลังอย่างนั้นอย่างนี้ รู้อย่างไรก็อย่างนั้น แค่นิ่งรู้เฉยอยู่เฉยๆ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ลมจะนานๆมาทีก็นานๆมาที จังหวะที่ยังไม่มีลมมาก็นิ่งรู้อยู่เฉยๆ รู้ความที่มันไม่มีลมนั่นแหละ ที่ให้รู้ความที่ไม่มีลมก็เพื่อไม่ให้รู้หลุดออกจากฐาน มันยังอารมณ์อันเดียวอยู่
Tue, 12 Dec 2023 - 21min - 710 - สติที่บริสุทธิ์ อุเบกขาก็ปรากฏ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 19/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร สติที่เป็นอยู่มีอยู่แต่เดิม สติ คือ เจตสิก เจตสิก คือ อารมณ์ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต เป็นตัวที่เขาเรียกว่า อุปการะต่อสิ่งที่เป็นกุศล อะไรที่ดีๆสติตัวนี้จะเป็นอุปการะ แต่มันยังไม่เป็นสัมมาสติ การที่จะให้สติที่เกิดขึ้นแล้วดับไปนี้ คือ มันเกิดแล้วดับอยู่แล้วนะ อย่างนั่งอย่างนี้ มันเป็นสติไปหมด แต่มันเกิดแล้วก็ดับ ทุกครั้งที่ทํางานเขาเกิดแล้วก็ดับ เพราะมันไปผูกเรียกรวมว่าเป็นกิริยาชีวิต สติเกิดปั๊บอยู่ในกิริยาชีวิต มันเป็นเจตสิก เหมือนกับความรู้สึกตัวอื่นๆที่มีอยู่ที่จิต ความรู้สึกตัวอื่นๆที่มันเกิดแล้วก็ดับ โกรธเกิดแล้วดับ พยาบาทเกิดแล้วก็ดับ อะไรต่างๆที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด มันก็เกิดแล้วก็ดับ สตินี้เหมือนกัน มันก็เกิดแล้วก็ดับ บรรดาสิ่งที่เกิดดับในจิตนี้ ตัวสติเป็นตัวที่เกิดขึ้นมาแล้วอุปการะต่อกุศลธรรม เพราะฉะนั้นกุศลธรรมทุกตัวที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสติเป็นตัวอุปการะ สติตัวนี้จึงต้องเกิดบ่อยและมีกําลัง จึงจะทําให้กุศลธรรมมีกําลังในกิริยาชีวิต อะไรอื่นๆที่เป็นปัญหาในชีวิตที่มนุษย์ใคร่ที่จะออกมาตั้งแต่ต้น เช่นว่า ต้องการพ้นจากทุกข์ ไม่อยากจะทุกข์เพราะความแก่ ไม่อยากจะทุกข์เพราะความเจ็บ ไม่อยากจะทุกข์เพราะความตาย ไม่อยากจะทุกข์เพราะความโศก ไม่อยากจะทุกข์เพราะความร่ำไรรําพัน ไม่อยากจะมีทุกข์เพราะความพลัดพราก ไม่อยากจะมีทุกข์เพราะอกหักรักคุด ความทุกข์ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการออกมา มันจะออกมาไม่ได้เลยถ้าไม่รู้ มันก็จึงดิ้นรนกันไป ไหว้ สวดมนต์ บวงสรวง อ้อนวอน ขอพร ขอที่พึ่ง ไหว้ป่า ไหว้เขา ไหว้ต้นไม้ ขอให้ช่วยให้ข้าพเจ้าได้รอดพ้นจากความทุกข์นี้ แต่พระพุทธเจ้ามาค้นพบว่าทางเดียวคือการพัฒนาสติที่เป็นเจตสิกที่มันเกิดดับอยู่นี้ให้มีกําลัง แล้วมันจะทําการอุปการะต่อกุศลธรรมทั้งหมด จนมันเกิดเป็นความไพบูลย์
ตัวจิตที่มีอวิชชาอยู่ จะทําอย่างไรให้ตัวสติที่เกิดเป็นตัวที่จะอุปการะต่อกุศลธรรม ก็ต้องหยุดการให้อาหารกับอวิชชาและหยุดการเดินต่อตามอํานาจของอวิชชา จึงจะเป็นจุดที่ตั้งต้นของการที่จะให้สติที่จะเดินในทางสัมมาสติเกิดขึ้นได้ แม้มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แต่การเกิดขึ้นในแต่ละขณะของสติ ของจิตที่เกิดพร้อมด้วยสติแต่ละขณะๆนั้น มันเกิดบนฐานของการหยุด บนเหตุปัจจัยที่มันหยุดการทํางานของอวิชชา จึงเดินเข้าไปสู่การสงัดจากกาม การสงัดจากอกุศล องค์ประกอบเหล่านี้เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็จะบ่มให้เกิดความนิ่ง ความตั้งมั่น ความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นธรรมที่จะหยุดได้
ถ้าเราไม่ใช้หลักการนี้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็จะ สํสฏฺโฐ วิหรติ กาเมหิ สํสฏฺโฐ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ ก็คือว่า จิตเรา ตัวรู้ที่มีอยู่ก็ยังคงคลุกคลีเกี่ยวข้องด้วยกาม คลุกคลีเกี่ยวข้องด้วยอกุศล ถ้าเป็นดังนี้ก็มีแต่การเติมอาหารให้อวิชชา เมื่อเติมอาหารให้อวิชชาที่มันอ้วนพีอยู่ แล้วเราจะไปปรารถนาที่จะออกจากทุกข์เราจะทําอย่างไร มันสวนทางกันแล้วใช่ไหม แม้แต่การปฏิบัติ ถ้ามันไม่หยุด ไม่เริ่มต้นด้วยการหยุดให้อาหารของอวิชชา แต่ทําไปตามความต้องการแห่งใจในขณะที่มันยังเป็นอวิชชาอยู่ การปฏิบัตินั้นก็เป็นยอดของอวิชชามันก็ให้อาหารกับอวิชชาเหมือนกัน อันนี้ต้องเข้าใจนะ นี่เป็นอริยธรรม พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนว่า อริยธมฺมํ สุณาติ โยนิโส มนสิกโรติ เมื่อฟังแล้วพิจารณาตามหลักของธรรมนี้ เพื่อให้มันไปสอดรับกับความรู้ กับสภาวะที่ตนเองกําลังปฏิบัติอยู่ เพิ่มอินทรีย์ เพิ่มความเชื่อ เพิ่มความเพียร เพิ่มความรู้ให้มันลงใจ
จิตจะคลุกคลีเกลือกกลั้วอยู่กับความปราถนาในความสุข ในสิ่งที่จิตนั้นเห็นว่าดี เห็นว่างาม เห็นว่าใช่ เห็นว่าถูก เห็นว่าลงตัวแล้ว ความเห็นที่ลงไปอย่างนี้โดยอํานาจของอวิชชา ความเห็นเหล่านี้จะรั้งจิตไม่ให้มีโอกาสที่จะหยุดอวิชชาได้เลย ถ้าเราไม่เจอพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ฟังอริยธรรม เราไม่มีการหยุด เราจะเป็นเหยื่อของมันตลอดเวลา แค่คําว่า รูปนามกายใจ เวลาเราฟังตั้งแต่ต้นมา กี่ปีที่เราจําความได้ รูปนามกายใจ เรารู้สึกว่ามันห่างจากตัวเราเสมอ เพราะตัวโยนิโสมนสิการไม่เคยที่จะน้อมเข้ามาทําโยนิโสมนสิการในรูปนามกายใจนี้ ไม่รู้จักมันในสถานะของสภาวะ สภาวะก็คือว่า มันรู้เกิดขึ้นในขณะจิตเดียวกัน รู้เกิดขึ้นในขณะจิตเดียวกันหมายความว่า ความรู้นั้นมีอยู่ รู้สึก ณ ขณะนั้น พิจารณาในขณะนั้น กายในขณะนั้นปรากฏให้เกิดการพิจารณาและมันเกิดความรู้ เกิดองค์ความรู้เกิดจากการพิจารณานั้น มันจึงเกิดความรู้ในสภาวะ มันไม่มี
ส่วนใหญ่พอพิจารณากาย ตัวสติที่ไปวางไว้ที่นิมิต มันวางไว้บนบนอัตตาทั้งหมด แล้วก็ไปผูกติดกัน ผูกติดกับอัตตาแล้วก็ไปยึดโยงกับชื่อ กับความเป็นตัวตน มันก็กลายเป็นตัวตนไปหมดที่ทํา
Tue, 12 Dec 2023 - 1h 03min - 709 - สภาวธรรม - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 18/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร สภาวธรรมในทางปฏิบัติ ก็คือขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18
ขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นสภาวธรรม
อายตนะ 12 ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ธาตุ 18
จกฺขุธาตุ รูปธาตุ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ
โสตธาตุ สทฺทธาตุ โสตวิญฺญาณธาตุ
ฆานธาตุ คนฺธธาตุ ฆานวิญฺญาณธาตุ
ชิวฺหาธาตุ รสธาตุ ชิวฺหาวิญฺญาณธาตุ
กายธาตุ โผฏฺฐพฺพธาตุ กายวิญฺญาณธาตุ
มโนธาตุ ธมฺมธาตุ มโนวิญฺญาณธาตุ
นี่เป็นสภาวธรรม ที่มันเคลื่อนเวลาเรานิ่งรู้อย่างอิสระ นิ่งรู้เฉยอยู่ สิ่งที่มันปรากฏ คือ เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดที่เป็นสภาวธรรม เป็นสภาวะ ตัวรู้ที่มันรู้เห็นสภาวะเหล่านี้ตามความเป็นจริง ในที่สุดสภาวะเหล่านี้ตามความเป็นจริงของมัน มันจริง 2 อย่าง หนึ่ง จริงแบบสมมติ สอง จริงแบบปรมัตถ์ มันมีทั้ง 2 อย่าง เวลาจริงปรมัตถ์ คือ มัน ไม่มี จริงสมมตินี่มันเหมือนมีอยู่ แต่จริงปรมัตถ์มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของรูปขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของเวทนาขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์ของจักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้น คือ มันไม่มี
ความจริงในปรมัตถ์มันคือ มันไม่มี แต่มันเป็นความจริงชั้นของปรมัตถ์
ความจริงสมมติมันมีอยู่ไหม ก็นี่ยังไงตามันมีอยู่ แต่ในปรมัตถ์จริงๆมันไม่มี
เราก็ต้องดูรูปขันธ์ คือ รูปเรานี้ มันแปรเปลี่ยนไปขนาดไหน มันมีอยู่จริงไหม เอาเป็นชิ้นๆเลย ว่ามันมีอยู่จริงไหม มันจับตรงไหน ตรงนี้เขาเรียกผม ใต้ผมเรียกว่าหนังหัวใช่ไหม นี่เรียกว่าคิ้ว สมมติทั้งนั้น ตรงนี้เรียกว่าตา ตรงนี้เรียกว่าจมูก ตรงนี้เรียกว่าปาก ตรงนี้เรียกว่าฟัน เป็นทัพสัมภาระทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าลงลึกไปกว่านั้นคือว่า แยกเป็นหมวดๆ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไม่มีอย่างอื่น
ดิน คือ ลักษณะที่เข้มแข็ง
น้ำ คือ ลักษณะที่มันเอิบอาบ เหลว
ไฟ คือ ลักษณะที่เร่าร้อน
ลม คือ ลักษณะที่มันพัดไปพัดมา อยู่ภายในภายนอก เท่านี้
แล้วเมื่อมันแตกสลาย ดินกลับไปไหน ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม ธาตุทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วตรงไหนล่ะที่มี แล้วเราก็สมมติชื่อเรียก สมมติเรียกว่า เปิ้ล และเมื่อมันย่อยแยกสลายออกไปแล้ว ธาตุทั้ง 4 กลับคืนสู่ความเป็นสภาพเดิม คําว่า เปิ้ลไปไหน หายไปแล้ว หาไม่มีด้วย หาสักนิดนึงก็ยังไม่มี เวลาเขาเผา เกิดมีลูกมีเต้า เป็นคนมีคุณความดี เขาจะเก็บกระดูกไว้ มันใช่เหรอ มันใช่ไหม นั่นคือปรมัตถ์ เป็นความจริงในชั้นของปรมัตถ์ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้ อาศัยการยึดถือ ก็กลายเป็นความจริงในชั้นของสมมติ ถ้าเราติดสมมติทุกข์ยันตาย ถ้าติดสมมตินะ ทุกข์ไปตายเกิดมาใหม่ก็ทุกข์ไปตาย แล้วเกิดมาใหม่แล้วก็ทุกข์ไปตาย แล้วก็เกิดมาใหม่ ไม่จบ มันเป็นวัฏฏะ และเราก็จะมาให้เหตุผลว่าโอ้ยหลวงพ่อก็พูดได้ หนูยังต้องทํางานนะ ต้องเลี้ยงแม่ อย่างโน้นอย่างนี้ อ้าวมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราพูดกันถึงเรื่องของความจริงในชั้นของปรมัตถ์ กับความจริงในชั้นของสมมติ แล้วที่มานั่งภาวนากันอยู่ ที่ศึกษาธรรมะปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้จิตมันสว่างใช่ไหมปัญญามันเข้าถึงความจริงในชั้นของปรมัตถ์ที่มันเป็นความไพบูลย์ทั้งหมด เพราะว่าเมื่อจิตมันสว่างในชั้นของปรมัตถ์ ไพบูลย์ทั้งหมดแล้ว มันไม่ต้องมาทุกข์เพราะขันธ์ พระพุทธเจ้าบอก
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระจริงๆ
ภารหาโร จ ปุคฺคโล แต่บุคคลยังยึดถือภาระไว้
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ การปล่อยวางภาระอันนี้ได้ เป็นสุข
ดังนั้นการปล่อยวางขันธ์นี้ ที่เป็นภาระอยู่นี้ มันเป็นสุข เพราะฉะนั้นสภาวะหนึ่งที่เราผู้เป็นนักปฏิบัติ คือ การวางขันธ์เกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นน่ะสุขแท้ ขันธ์เป็นภาระเพราะมันเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็มีการยึดถือในขันธ์นั้นว่าเป็นเรา
เรื่องราวของสภาวะนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นปัญจโครส เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษาพัฒนาให้มันปรากฏ เพื่อที่จะไปรองรับ
เมื่อใดที่เราเห็นตามพระพุทธเจ้าว่า ขันธ์นี้มันเป็นภาระ การเกิดมันเป็นทุกข์ การแก่มันเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยมันเป็นทุกข์ การตายมันเป็นทุกข์ ความโศกมันเป็นทุกข์ ความร่ำไรรําพันมันเป็นทุกข์ ความพลัดพรากมันเป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มันเป็นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์ เมื่อใดที่เราเห็นแบบนี้ แล้วลองนึกดูสิว่านี่คือตัวเราใช่ไหม มันคือขันธ์ 5 ใช่ไหม แล้วเราเรียนรู้จนรู้สึกได้ว่ามันเป็นทุกข์ ครานั้นมันจึงจะเกิดการที่จะปลงภาระนี้
Mon, 11 Dec 2023 - 1h 29min - 708 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 7 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 17/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง
ดํารงสติเฉพาะหน้า
ตัวผู้รู้นิ่งอยู่ที่นิมิต นิ่งรู้อยู่เฉยๆ นั่นแหละอิสระไม่มีอะไรไปทํามัน นิ่งรู้อยู่เฉยๆ อิสระ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่มุ่งไปอะไร ไม่จ้องไปที่ไหน ไม่ต้องการทําอะไร นิ่งรู้อยู่เฉยๆที่นิมิต
ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ นิ่งรู้อยู่เฉยๆ
สังเกตรู้ที่นิ่งๆอยู่ ไม่ต้องไปตั้งใจสังเกตมาก แค่สังเกตธรรมดาๆ ให้รู้เขาทําหน้าที่ของเขาไป แล้วก็สังเกตดู
มีลมเข้า มีลมออก มีนิมิต มีรู้นิ่งๆ มีรู้ที่รู้ลมที่ออก มีรู้ที่รู้ลมที่เข้า เป็นการทํางานของสภาวธรรมเหมือนกับเครื่องยนต์เลย สังเกตเหมือนกับกลไกของเครื่องยนต์ รู้นิ่งๆเฉยๆนี่นิมิต
นิ่งรู้อยู่เฉยๆ แล้วก็สังเกตนิมิต รู้นิ่งๆอยู่ที่นิมิต ลมซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ตรงๆ ลมที่ถูกรู้เป็นธรรมชาติของเขา มันจะสั้น มันจะยาว มันจะเบา มันจะแรง มันจะเป็นอย่างไรก็เป็นธรรมชาติของเขา รู้อย่างนั้นที่รู้ได้จริงๆ
ลมออก ลมเข้า ตามธรรมชาติ แล้วลมหยุด เมื่อลมมันหยุด รู้นิ่งๆเฉยๆ
รู้ลมออก รู้ลมเข้า รู้ลมออก รู้ลมเข้า รู้ลมหยุด นิ่งๆเฉยๆ
เมื่อลมหายใจเข้าร่างกายทั้งร่างมันสะเทือน มันสะเทือนเบาๆ แต่รู้สามารถรู้ได้ตรงๆ
เมื่อลมหายใจออกร่างกายมันก็สะเทือน ความสั่นสะเทือนนั่นแหละคืออาการของกาย
รู้ที่นิ่งอยู่ เฉยๆอยู่ มันก็รู้การสั่นสะเทือนของกายด้วย ให้รู้รู้ของเขาเอง ถ้าเขาไม่รู้ก็เรื่องของเขา
รู้นิ่งที่นิมิตเฉยๆอยู่ เมื่อมีลมหายใจเข้า รู้ก็รู้ลมหายใจเข้าไปด้วย แล้วเขารู้กายทั้งร่างที่สั่นสะเทือนอยู่ด้วย
รู้นิ่งเฉยๆอยู่ เมื่อหายใจออกก็รู้ลมที่หายใจออกนั้นด้วย พร้อมทั้งรู้กายที่สั่นสะเทือนอยู่ทั้งร่างนั้นด้วย
ทําหน้าที่รู้อย่างเป็นธรรมชาติ คือ แค่รู้ไม่เข้าไปกําหนดหมายอะไร ไม่เข้าไปปรุงแต่งอะไร มันก็เกิดภาวะความสงบ ความสงบจากความไม่มีอะไร มีแค่รู้ที่นิ่งๆอยู่เฉยๆ ทําหน้าที่รู้กายไป รู้ลมออก รู้กายทั้งร่างที่นั่งอยู่ด้วย อันเป็นภายในบ้าง อันเป็นภายนอกบ้าง ในขณะที่รู้นิ่งๆเฉยๆ รู้ลมหายใจเข้า รู้กายทั้งกายอันเป็นภายในด้วย ว่ากายมีอยู่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อตฺถิ กาโยติ กายมีอยู่ หายใจออกรู้นิ่งๆเฉยๆ ทําหน้าที่ตรง รู้ตรงต่อลมที่หายใจออกนั้นด้วย รู้กายทั้งกาย อันเป็นภายนอกด้วย รู้นิ่งๆเฉยๆอยู่ ลมออกก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ถูกรู้ ลมเข้าก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ถูกรู้ กายทั้งกายอันเป็นภายในก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ กายทั้งกายอันเป็นภายนอกก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ถูกรู้ นอกจากเป็นสิ่งที่ถูกรู้แล้วไม่เป็นอะไรเลย รู้นิ่งอยู่เฉยๆ มันก็เกิดความปราณีต ปราณีต คือ รู้สบายๆ ลมสบายๆ รู้ก็สบายๆ เกิดความเบาๆ ลมก็เบาๆ รู้ที่รู้ลมนั้นก็เบาๆ สบายๆ
กายมันนิ่งก็รู้ ลมเบาสั้นรู้ ลมเบาออก สั้นๆ สบายๆ รู้
กายก็สักว่ากาย ลมก็สักกว่าลม ลมออกก็สักว่าลมออก ลมเข้าก็สักว่าลมเข้า กายอันเป็นภายในก็สักแต่ว่ากายอันเป็นภายใน กายอันเป็นภายนอกก็สักแต่ว่ากายอันเป็นภายนอก รู้นิ่งอยู่เฉยๆ ไม่มีความตรึกไม่มีความตรอง ไม่มีตรึกก็คือว่า ไม่มีการยกรู้ตรึกเข้าไปสู่ลม ไม่มีการตรองคลอรู้ที่ลม มันก็สักแต่ว่ารู้ของมันไป ความตรึกความตรองก็สงบตัวลงไป ในความปราณีตของรู้ก็ปราณีตยิ่งขึ้น ปราณีตของสิ่งที่ถูกรู้ก็ปราณีตยิ่งขึ้น ลมจะสั้นเบาสบาย ลมจะหยุดเป็นช่วงๆ รู้นิ่งอยู่เฉยๆ
ตัวรู้เขารู้อะไร ให้เขารู้ไป ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปจัดการ ไม่ต้องไปจัดแจง แค่รู้ไปตรงๆตามธรรมชาติของเขา
มีเวทนากาย โสมนัส สบาย โทมนัส คือ ไม่สบายที่กายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ปรากฏ มันก็แค่เวทนา นิ่งรู้อยู่เฉยๆ รู้ตรงเวทนา ถ้ากายมันปวดมากก็แค่รู้ รู้ว่ามันปวดมาก มีสติกระโดดเข้าไปจับ เห็นความปวดของกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ จะปรับเปลี่ยนท่านั่ง ก็นิ่งรู้อยู่เฉยๆ สติก็รู้ในการเปลี่ยนไป
รู้นิ่งเฉยๆอิสระอยู่ ตอนนี้ถ้าใครจะเปลี่ยนอิริยาบถ จะลุกไปเดินก็ได้ นั่งต่อก็ได้ ให้รู้นิ่งเฉยๆอยู่อย่างนี้ เปลี่ยนอิริยาบถ กราบพระ แล้วก็ไปเดินได้ อยู่ด้วยจิตผู้รู้ นิ่งๆเฉยๆ ก็ไปปฏิบัติอิสระ ให้ตัวรู้นิ่งเฉยๆ ไปยืน เดิน นั่ง นั่งยืน เดิน ไม่ต้องคาดหวังว่ารู้นิ่งๆเฉยๆอิสระยังอยู่ไหม ไม่ต้องหา เพียงแค่สงบกายเขาก็ตั้งขึ้นมา รู้นิ่ง รู้เฉยๆ ใครจะไปเดิน ไปห้องน้ำ ก็กราบพระ แล้วก็ไปเดินตามอิสระ ใครจะนั่งต่อก็นั่ง
Mon, 11 Dec 2023 - 51min - 707 - จิตตภาวนา - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 16/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร ตถาคตบท เข้าสู่ร่องรอยของพระตถาคต เห็นร่องรอยทางไปปากบ่อ แล้วด้านบนอิสระ เข้าสู่จิตผู้รู้ที่เป็นอิสระตรงต่อกายใจที่เป็นธรรมชาติ ต้องปล่อยให้รู้ทำงาน แต่จะมีการแทรกแซง เหมือนไม่ค่อยรู้ รู้อีกแบบดีกว่า เราไปวุ่นวายกับมัน แต่ความสับสนของรู้ ความกระสับกระส่ายแบบนี้แก้ได้โดยนิ่งรู้อิสระอีกครั้ง อารทฺธวิริย ถอยกลับมาเริ่ม ก็จะรู้ลม ลมเป็นกายในกายที่รู้ได้เป็นธรรมชาติที่สุด รู้มีคุณสมบัติของรู้ เราไม่ใช่รู้ เราจะไม่มีคุณสมบัติของรู้ รู้ต้องอยู่กับนิ่ง จึงจะไม่กระสับกระส่ายกับสิ่งที่ถูกรู้ ถ้ากระสับกระส่ายคือเราเข้าไป ขณะที่รู้นิ่งอยู่ จะเกิดกุศลธรรม อาตาปี สมฺปชาโน สติมา อาตาปี ความเพียรแผดเผานิสัยสันดานสัญชาตญาณ เพราะรู้นิ่งอิสระ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นเป็นอนิสิต ไม่เป็นที่อาศัยของตัณหา มานะ ทิฏฐิ สัมปชาโน รู้ทั่วตามกำลังของมัน สติมา มีสติ รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ เป็นกิริยาของรู้นิ่ง เวลาเราภาวนาชั้นจิตตภาวนา ไม่ใช่ไปหวังความสงบนะ ความสงบมันเกิดเองในบริบทนี้ ในบริบทที่ มันไม่มีการปรุงแต่งอะไร เพราะรู้นิ่งที่เป็นอิสระจะรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ แค่นี้เอง นี่คือความสงบ มันไม่มีเคลือบฉาบทาด้วยความสงบที่เป็นบริบทของตัณหาจริยา เวลาเราพูดถึงเรื่องของความสงบ เรามีเป้าอยู่แล้ว ความสงบนี่หมายความว่ามันต้องโดนใจ มันต้องสงบแบบนั้น ถ้าสงบแบบนั้นมันไม่ใช่ แบบนั้นมันมาด้วยอํานาจของตัณหา เพราะสงบแบบนั้นแล้วเราพอใจ พอเราพอใจอุปาทานขันธ์ทํางานทันที เพราะฉะนั้นเวลาเราสงบ เราสงบจากอุปาทานขันธ์นะ สงบแล้วอุปาทานขันธ์ทํางานอย่างเต็มที่ นี่ไม่ใช่อยู่ในบริบทของ สนฺโต พอรู้นิ่งเป็นอิสระมันสงบของมัน ตามธรรมชาติของมัน ในบริบทของมัน นั่นคือความสงบแล้ว เพราะมันไม่ได้ไปปรุงแต่งอะไร สัญญา เวทนา สังขาร พอสัญญาไม่ได้มาทํางาน ชุดข้อมูลทั้งหมดที่เป็นสัญญา ที่ยึดถืออยู่ ทับถมซับซ้อนกันอยู่ไม่ได้ออกมา เพราะรู้นิ่งอย่างอิสระแค่อาศัยนิมิตอยู่ พอมีธรรมชาติที่ปรากฏมันก็รู้ มันก็รู้ มันก็รู้ รู้ของเขาไปเรื่อยๆของเขาเอง ถ้ามีเวทนา เวทนาเกิดที่กาย เป็นกายเวทนาใช่ไหม เป็นเวทนาทางกายใช่ไหม ถ้าเป็นเวทนาทางกายตัวรู้ก็จะรู้เวทนา เวทนาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ตามธรรมชาติของเขา เดินๆอยู่แล้วรู้สึกปวดนิ้วเท้า ถ้ารู้ยังนิ่งอย่างอิสระมันก็จะรู้ตรงต่อความปวดที่เกิดขึ้นที่นิ้วเท้า ตัวที่เข้าไปรู้นี้ คือ สติ ถ้ารู้ยังนิ่งอย่างอิสระแล้วตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือ ความปวดที่นิ้วเท้า ความปวดที่นิ้วเท้าซึ่งเป็นทุกขเวทนา เป็นกายเวทนา เป็นเวทนาทางกาย เป็นสิ่งที่ถูกรู้ตามธรรมชาติของเขา มันปวดจริง ตัวที่เข้าไปรู้คือ สติ รู้ยังนิ่งอย่างอิสระ ตัวสติเข้าไปรู้แล้วมันก็จะเกิดวิจารณญาณของสติว่า ถ้าปวดอย่างนี้ ถ้าเดินต่อมันอาจจะทําให้เนื้อฉีก มันก็เป็นเรื่องราวของสติปัญญาที่จะไปดูแลและจัดการตรงนั้น แต่รู้ยังนิ่งอย่างอิสระ จัดการเรื่องนี้อาจจะต้องพันผ้าพันอะไรนิดหน่อยแล้วก็เดินต่อ หรือไปนั่ง หรือจะทําอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ยังนิ่งอยู่อย่างอิสระ นี่ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา พอแก้ไขเสร็จ จบ มันดับไป เดินไปเดินมามันเมื่อยที่ต้นขา ความเมื่อยที่เกิดขึ้นที่ต้นขาเป็นเวทนาทางกาย รู้ที่นิ่งอยู่อิสระมันก็ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ ตัวรู้ก็รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือ ความเมื่อย ตัวที่รู้ต่อความเมื่อยนั่นคือ สติ
การเข้าไปจัดการรู้คือตัณหาจริยา เป็นไปตามอุปาทาน มาจากหลงรู้ หลงปรุง หลงคิด นิวรณ์ สภาพธรรมที่ทำหน้าที่กั้นให้กุศลธรรมออกไป เพื่อให้อวิชชาเจริญ ชีวิตคือกายใจที่อยู่ด้วยกัน ใจอาศัยกายจึงก่อขึ้นมาเป็นชีวิต นามอาศัยรูป ใจถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามา กิเลสทำงานที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตซึ่งเป็นธรรมชาติรู้ พอรู้นิ่งอย่างอิสระ อุปาทานขันธ์ไม่ได้ทำงาน ไม่มีการปรุงแต่งอะไร นี่คือความสงบในบริบทของมัน ไม่ใช่ความสงบมาจากตัณหาจริยา จิตตภาวนา บ่มความตั้งมั่น บ่มตัวรู้ที่เป็นอิสระ และบ่มสติด้วย รู้ที่เกิดขึ้นต้องเป็นรู้ที่ใจเจ้าของรู้เอง ผ่านประสบการณ์ของตัวเอง เป็น ปจฺจตฺตํ เป็น สนฺทิฏฺฐิก ความสว่างคือ ก้อนของความมืดที่ถูกห้อมล้มด้วย อวิชชา อุปาทิ และสักกายะ ถูกเปิดออกไป เห็นความจริง เกิดความสว่าง บ่มอินทรีย์ที่ขันธ์ ธาตุ อายตนะ จิตตภาวนา พัฒนาจิตด้วยการเรียนรู้ 2 สภาวะ นิ่งรู้ที่เป็นอิสระโดยอาศัยนิมิตอยู่ และรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา
Mon, 11 Dec 2023 - 1h 11min - 706 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 6 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 15/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เข้าไปสู่ตัวรู้ที่เป็นอิสระ นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระก่อน ทําตามที่เคยฝึกฝนอบรมมาอย่างต่อเนื่อง ดูว่าตัวนิ่งรู้อย่างอิสระ แล้วมันนิ่งรู้อยู่อย่างนั้น ลองไม่ต้องไปทําอะไรกับเขาอยู่ในประมาณหนึ่ง จนนิ่งรู้ตรงต่อลมธรรมดา ปกติสบายๆ ก็อยู่รู้ลมเป็นกิจหลักไป รู้ลมโดยเป็นกิจหลัก แต่ไม่ได้ไปปัก หมาย กําหนด ไว้เฉพาะลม ลมเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ถูกรู้หรือแค่รู้ แค่ถูกรู้ตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน รู้ก็ไปรู้กายส่วนอื่นในกายนี้ได้ด้วย นิ่งรู้อย่างสงบตามสิ่งที่ถูกรู้ซึ่งปรากฏจริงตามธรรมชาติ ไม่มีเป้าหมาย ในเวลา ในกิริยาอะไร ให้รู้เขาทํางานไปอย่างอิสระ ถ้าเขาลอยออกไปข้างนอก ดู ณ ขณะนั้นรู้ ไม่ได้นิ่งรู้ ไม่เป็นอิสระแล้ว เราก็เข้าสภาวะรู้ที่เป็นอิสระ นิ่งรู้อย่างอิสระใหม่ อารทฺธวิริย คือ การปรารภความเพียร คือ ให้นิ่งรู้อย่างอิสระ เมื่อตัวรู้หลุดออกไปข้างนอก ถูกความคิดเข้าไปแทรกแซง ถูกอะไรเข้าไปแทรกแซง ถูกอดีต ถูกอนาคต ถูกอารมณ์อื่นๆเข้าไปแทรกแซงจิต ทําให้ตัวรู้ออกไปจากกาย ไม่ต้องไปทําอะไรอื่นนะ แค่เข้าสภาวะที่นิ่งรู้อย่างอิสระใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วให้รู้นั้นทําหน้าที่รู้ของเขาไปอย่างอิสระ กับสิ่งที่ถูกรู้ที่ปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเขาทํางานได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ก็วางไว้อยู่กับลม ให้เขาทําหน้าที่ในการรู้ลม โดยไม่ต้องกําหนดว่ายาว ว่าสั้น ว่าหยุด แต่ว่ารู้เขาเข้าไปรู้ในขณะที่ลมออก รู้ก็รู้ลมที่กระทบออกของเขาไป ในขณะที่ลมเข้า รู้ก็รู้ลมกระทบเข้าของเขาไป ในจังหวะที่ลมหยุด รู้ก็นิ่งรู้อยู่กับสภาวะที่มันไม่มีสภาพธรรมใดปรากฏ ถ้ามีสภาพธรรมใดปรากฏที่เป็นกายก็รู้ไป ให้เขารู้ของเขาไป เราก็ไม่ต้องทำหน้าที่แทรกแซงในการยกไป ย้ายมา กำหนดไป กำหนดมา ให้เขานิ่งรู้ของเขาอย่างอิสระ ทำงานอย่างต่อเนื่องไปแต่ละขณะ
รู้ไปเรื่อยๆ ไม่ไปคาดหมายด้วยอํานาจของสัญญาใดๆ ถ้าไปคาดหมาย มีสัญญาขึ้นมา มันก็จะไปให้ค่าต่อสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อให้ค่าต่อสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะปรุงแต่ง ถ้ามันเกิดสภาวะเช่นนี้ เราไม่ต้องทําอะไร กลับไปที่รู้นิ่งรู้อย่างอิสระที่เดิม ตอนนี้เน้นสภาวะรู้นิ่งอยู่อิสระ แล้วก็ไม่ต้องไปตั้งใจตกแต่งเขา ไม่ต้องตั้งใจไปตกแต่งรู้ ถ้าหากว่าตั้งใจเข้าไปตกแต่งรู้ แสดงว่าพยายามที่จะเอาเราไปรวมกับรู้
ถ้าไม่มั่นใจหรือแยกไม่ออกว่ารู้กับเราเป็นอย่างไร ก็เข้าช่องในการทำกิจที่ฝึกฝนมา ดํารงสติเฉพาะหน้าก่อน สำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจแยกไม่ออกว่าเราหรือรู้ ดํารงสติเฉพาะหน้าก่อน รู้อยู่เฉพาะหน้า ระลึก รู้ ไปวางไว้ที่นิมิต ถ้าแยกไม่ออกก็ปฏิบัติตามนั้น เอาจิตผู้รู้ที่อยู่ที่นิมิตนี้ รู้ลม ทําลมยาว กลาง เบา ให้เขารู้ลมกระทบ ยาว กลาง เบา จากนั้นให้รู้อยู่นิ่งๆที่นิมิต ปล่อยลมเป็นธรรมชาติธรรมดาไม่ต้องไปกําหนดอะไร รู้ก็ทําหน้าที่รู้ รู้ลมที่มันออกตามธรรมชาติของลมออก รู้ลมเข้าตามธรรมชาติของลมเข้า นิ่งรู้อยู่กับลมที่มันหยุดก็ตามธรรมชาติของลมที่มันหยุด ลมมีออก มีเข้า มีหยุด จังหวะที่ลมหยุด นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระ จังหวะที่มีลมเข้า นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระต่อการรู้ลมเข้า รู้เบาๆ สบายๆ ธรรมดาๆ ไม่ได้มุ่งหวัง ไม่ได้โฟกัส ไม่ได้ล็อคเป้าอะไร มันรู้ของมันเอง รู้เขารู้ของเขาเอง เพียรรู้อย่างนี้ไป ถ้าไม่ชัด ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ ก็ถอยกลับไปอีก ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า สงบกายให้รู้ตั้งขึ้นอย่างอิสระ ปรารภอยู่อย่างนี้
รู้นิ่งอิสระ มันอยู่ในบริบทของรู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีความสําคัญหมายในรูปร่าง ไม่มีความสูงความต่ำ ไม่มีความกว้างความแคบ ไม่มีเหลี่ยมไม่มีมุมไม่มีป้าน ไม่มีหนักเบา ไม่มีอธิบายได้อย่างอื่น นอกจากบอกได้คําเดียวว่ารู้ นิ่งอย่างอิสระ และก็ทําหน้าที่รู้สิ่งที่ถูกรู้ตามที่ปรากฏ ลมหายใจออกมา รู้ ลมหายใจเข้ามา เขาก็รู้ ลมหายใจออกมา เขาก็รู้ ลมหายใจเข้ามา เขาก็รู้ ลมหายใจหยุด เขาก็รู้ นี่เป็นสภาวะที่ปรากฏ อยู่ที่นิมิต บางครั้งมีความอึดอัดเพราะนิมิต อาจจะเกร็งเกินไป เชิดเกินไป แหงนหน้าเกินไป อันนี้เรียกว่าปรับกาย ให้เหมาะกับรู้ ให้สัปปายะกับการเป็นที่อาศัยของรู้
ความจ้องความเพ่งเล็งในโลกจากการที่จิตเข้าไปเสวยอารมณ์อันใดอันหนึ่งในโลก ด้วยอํานาจของอวิชชามันหยุดชะงักลง จากการไหลการตกไปของจิตในสิ่งที่ชอบที่ยินดีก็หยุดลง จิตรู้นิ่งเป็นอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ รู้มีกําลัง ตื่น ทําให้ถีนมิทธะ คือ ความง่วงความหลับก็หายไป ขณะที่การเพียรรู้ตรงๆอย่างต่อเนื่องดําเนินไปยังติดต่อ ความฟุ้งของจิตก็หยุด ความลังเลสงสัยก็หยุด ระวังเส้นบางๆที่มันอยู่ ความเพลิน ความง่วง ความหลับ ความขี้เกียจ ความบิดกาย จะเป็นที่ตั้งของกามฉันทะกับถีนมิทธะ
Mon, 11 Dec 2023 - 51min - 705 - อุปาทานขันธ์ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 14/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร เอาธรรมะไปเป็นเครื่องดำเนินในการใช้ชีวิต ชีวิตจริงถูกอุปาทาน 4 อย่างรัดรึงอยู่ 1. กามุปาทาน ความรู้สึกชอบ ยินดีพอใจที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งๆ ด้วยอำนาจของอวิชชา เกิดทับในแต่ละอย่าง จนเกิดความยึดถือในแต่ละอย่าง 2. ทิฏฐุปาทาน ความเห็นในเรื่องเดียวถูกทับซ้ำๆเป็นความเชื่อ 3. สีลัพพตุปาทาน ข้อปฏิบัติที่รู้ตัวว่าต้องทำในกิริยาชีวิต ทับซ้ำๆ จนเกิดการยึดถือ 4. อัตตวาทุปาทาน การเรียนรู้ที่เป็นประสบการณ์ของจิต รู้ว่าเป็นตัวเรา ทับซ้ำๆ เป็นของเรา ทับซ้ำๆ แล้วยังมีสภาพธรรมที่เข้าไปรับรู้สถานการณ์ที่ปรากฏที่ยังไม่รู้ว่าเรา ของเรา แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย สามารถเป็นเราได้เสมอ ทั้งหมดนี้ทำงานอยู่ที่นามขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนเกิดการเต็มรูปแบบ จนเกิดอุปาทาน การยึดถือ นามอาศัยรูปอยู่ เมื่อยึดถืออย่างนี้ การยึดถือในรูปก็เกิดขึ้น นี่คือทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ เราปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ต้องถอดถอนอุปาทาน อุปาทานเกิดจากตัณหา ในบริบทของสรรพสิ่งความจริงมีแค่ 2 อย่าง 1. สมมติสัจจะ จริงในแง่ของสมมติ จริงในกลไกของอุปาทาน 2. ปรมัตถสัจจะ เรียนรู้และเข้าใจลงในรูปนามนี้เมื่อใด เมื่อนั้นปริยัติธรรมเกิด ขันธ์ 5 เป็นปรมัตถ์ เพราะมีสมมติอยู่ ในระหว่างปรมัตถ์กับสมมติมีเส้นบางๆอยู่ ตัณหากับอุปาทานจะหลอกเราให้รู้ การหลงในสมมติ กับการรู้ในปรมัตถ์มีเส้นบางๆ จิตผู้รู้ที่เป็นอิสระอยู่ในกายจึงต้องมีอยู่ตลอด คราใดที่ไม่มีจิตผู้รู้ที่เป็นอิสระ จะหลุดออกไป ขันธ์ 5 ทำงานด้วยอุปาทาน สภาพธรรมที่ชื่อว่าแค่รู้เกิดขึ้น ณ ขณะจิตใด อุปาทานหยุด ณ ขณะจิตนั้น ความหลงในอายตนะไม่มี ผัสสะก็ไม่เกิด อวิชชาทำงานด้วยความหลงในแต่ละอย่าง เพราะหลงในสังขารทำให้เกิดการหลงในวิญญาณ หลงในนามรูป หลงในอายตนะ หลงในผัสสะ หลงในเวทนา หลงในตัณหา นี่คือการทำงานของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กงล้อของปฏิจจสมุปบาท หมุนอยู่ทุกการทำงานของชีวิต อัตตามาจาการทำงานของอุปาทานขันธ์ นามเป็นอาการหรือการทำงานของจิต จิตอาศัยกาย จิตเป็นสภาพที่ไม่มีอะไร มีแต่อาการ เราจะรู้จักจิตเดิมนี้ จิตเดิมแท้มันไม่มีอยู่จริง เพราะมันว่าง ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เป็นสุญญตะ ผุดผ่อง ที่มีอยู่เพราะอาศัยอาคันตุกะกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามา ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐนฺติ จิตนี้เดิมเป็นประภัสสรแต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรเข้ามา แต่มีอวิชชาอยู่ที่จิตประภัสสร เมื่ออายตนะพัฒนา รู้โลก อุปกิเลสก็เข้ามา อาสวักขยญาณของพระพุทธเจ้า คือ การหยั่งรู้ถึงการสิ้นไปของอาสวะ เมื่อสิ้นไปหมดก็ไม่มีอะไร ต้องไล่เรียงสภาวะเรื่อยๆจนตัวผู้รู้ที่ป็นอิสระปรากฏ แล้วจึงปล่อยให้รู้ค่อยๆทำงานไปรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ เมื่อทำบ่อยๆจนเป็นวสี ชำนาญในการระลึก อาวัชชนโต ปัญญาจะค่อยๆปรากฏตามกำลังของความตั้งมั่น
Mon, 11 Dec 2023 - 1h 30min - 704 - รู้ที่นิ่งอยู่อย่างอิสระ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 13/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร ธรรมชาติรู้ รู้สิ่งต่างๆที่ปรากฏของเขาเอง รู้ที่นิ่ง และทำหน้าที่รู้แบบนี้ เรียกว่ารู้ที่เป็นอิสระ และรู้ตรงต่อสิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมชาติ รู้นี้อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่เราฝึกวางไว้ที่นิมิต เพราะเหตุใกล้ที่สุดของกายในกายคือลมหายใจ นิมิตเหมือนประตู เมื่อรู้นิ่งอยู่บริเวณนิมิตได้ ก็แค่รู้เฉยๆ รู้ที่นิ่ง กระจายรู้ คือกิริยาของรู้ เมื่อรู้นิ่ง อิสระ ไม่มีอะไรน่าสงสัย ตัวเดิมตัวในคือ ตัวที่เห็นสภาวะรู้นิ่งอิสระ จะโดดเด่นขึ้นมาในการภาวนา จะเกิดสภาวะหยั่งรู้ได้ รู้ที่ไม่กระสับกระส่าย (อุปกิเลส) คือรู้นิ่งอยู่ ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐนฺติ จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นเศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ตัณหาจริยามาจับที่ผลการภาวนา ปลูกเป็นสัญญา ปฏิฆานุสัยก็จะถูกปลุกขึ้นมา รู้นิ่งๆเฉยๆ เมื่อสงบกาย รู้ขึ้นมา สังเกตว่ารู้กระจายอย่างไร กิเลสอาศัยนาม สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ นามอาศัยรูป สมาธิภาวนา พัฒนาความตั้งมั่น ต้องมีการเข้าไปจัดการในกิจต่างๆให้ถูกต้อง ตัวรู้จึงเป็นอิสระได้ จึงรู้สิ่งต่างๆได้ตามจริง จิตตภาวนา พัฒนาจิต รู้นิ่งเป็นอิสระที่กาย รู้ไม่กระสับกระส่ายแม้กายกระสับกระส่าย ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้รู้ทำงาน
Sun, 10 Dec 2023 - 1h 34min - 703 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 5 รู้ที่เป็นอิสระ- คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 12/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ดํารงสติเฉพาะหน้า บัลลังก์นี้ไม่ต้องทําอะไร ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า รู้ตั้งขึ้นที่นิมิต แล้วให้กายซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ให้รู้เขารู้ไป ให้รู้รู้ไป หมายความว่า เขารู้อย่างไรก็รู้ตามนั้น รู้อยู่ภายใน มีลมหายใจเป็นหลักของสิ่งที่ถูกรู้ เพราะลมหายใจออกลมหายใจเข้านี้มันเกิดตลอด ลมหายใจออกลมหายใจเข้าเป็นการเคลื่อนไหวของรูปนี้ ในขณะที่นั่ง จึงเป็นสิ่งที่ถูกรู้หลัก ลมหายซึ่งเป็นสิ่งที่รู้หลัก เกิดบ่อย เกิดถี่ ก็รู้ตามที่ปรากฏ
รู้เขารู้ รู้กายในแต่ละขณะที่รู้ ที่เป็นกายในละเอียด ผ่านทางลมหายใจ และสามารถสังเกตได้ เวลาหายใจเข้า รูปเปลี่ยน เวลาลมหายใจออก รูปเปลี่ยน เวลาเราหายใจเข้ามันเกิดการสั่นสะเทือนของรูป เวลาหายใจออกมันก็เกิดการสั่นสะเทือนของรูป รูปที่สั่นสะเทือนไปตามลมหายใจออกลมหายใจเข้า นั่นคือการเปลี่ยนของรูปแต่ละขณะ ก็ปรากฏของเขาเอง รู้ก็รู้ของเขาเองอย่างอิสระ สิ่งที่ถูกรู้ก็ปรากฏตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมชาติเอง คนปฏิบัติเติมแต่ปัญญา ตัวสังเกตรู้ที่ทํางานอยู่ สิ่งที่ถูกรู้ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะ ในขณะ รู้ที่นิมิต อาศัยนิมิตอยู่ กระจายไปที่กายส่วนต่างๆ ตามธรรมชาติ ตามอิสระของรู้ เราไม่ต้องไปทําอะไร เติมแต่ปัญญาที่สังเกต รู้ที่ทรงตัวอยู่อย่างอิสระ ทําหน้าที่รู้กายอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ภายใน มีลมหายใจเป็นสิ่งที่ถูกรู้หลักเพราะเกิดบ่อย แต่ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ทุกครั้งที่มีลมหายใจออก กายก็จะมีการสั่นสะเทือน ความสั่นสะเทือนของกาย นั่นคือ กิริยาของรูปในแต่ละขณะที่เปลี่ยน รู้ไม่ต้องไปกําหนดอะไร ไม่ต้องไปทําอะไร รู้จะรู้ของเขาเองอย่างนั้น ตามสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ อยู่กับการหายใจ รู้ก็จะนิ่ง นิ่งรู้อยู่
มีแค่รู้นะ มีแค่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นกายเป็นใจแท้ๆ ลมหายใจออกยาวแค่รู้ ลมหายใจเข้ายาวแค่รู้ ลมหายใจออกสั้นแค่รู้ ลมหายใจเข้าสั้นแค่รู้ ลมหายใจหยุด ปราศจากลมหายใจเคลื่อนเข้าเคลื่อนออกก็แค่รู้ การสะเทือนของร่างของกายก็แค่รู้ รู้นิ่งอยู่อย่างอิสระ ไม่ต้องไปตั้งใจรู้อะไร เรียกว่ารู้นิ่งอย่างอิสระไม่ต้องทําอะไร ลมหายใจก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ การหายใจก็เป็นสิ่งถูกรู้ ความสั่นสะเทือนแห่งกาย ตอนหายใจเข้า กายส่วนหน้า เช่น หน้าอกหรือท้อง มันสะเทือนก็แค่รู้ พอหายใจเข้า ร่างเหมือนถูกดันให้ยกขึ้นนิดนึงก็แค่รู้ หายใจออก ร่างหรือรูปคือกาย ยุบตัวลงเล็กน้อยนิดหน่อยก็แค่รู้ มีความปวดเกิดขึ้น ปวดเกิดขึ้นที่ไหล่ขวา ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง ว่ามีความปวดเกิดขึ้นก็แค่รู้ รู้อยู่ภายใน ไม่ได้อยู่กับความปวดแต่ความปวดเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยแค่รู้ ปวดไหล่ซ้ายก็แค่รู้ ปวดที่เข่าซ้ายแค่รู้ สังเกตรู้ นิ่งอยู่ อิสระ สิ่งที่ถูกรู้ก็ปรากฏ ตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมชาติของเขา เราไม่ได้ไปทําอะไรมันเกิดขึ้นเอง รู้ก็รู้เอง แค่เติมปัญญาลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้เราเข้าไปแทรกแซง การทําหน้าที่รู้ตรงต่อรู้ที่เป็นอิสระ ต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่ปรากฏ นี่เป็นเรื่องของการเติมปัญญาลงไป
ถ้าเกิดง่วง มึน อึน ซึม รู้ รู้ง่วง ให้รู้นั่นแหละตื่น ตื่นด้วยการตรงสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นภายในอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวรู้จะไม่เป็นกลางวันไม่เป็นกลางคืนนะ ตัวรู้จะไม่เป็นมืดไม่เป็นสว่าง ตัวรู้จะไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป ตัวรู้จะไม่เป็นถูกไม่เป็นผิด เป็นเพียงแค่สภาวะอันหนึ่งที่ทําหน้าที่รู้ของตัวมันเองอย่างอิสระ
เอาละ ค่อยๆออกจากสมาธิโดยที่รู้ยังเป็นอิสระอยู่ภายใน ในสภาวะนี้ หมายความว่า จากนี้ให้ถือการเคลื่อนไหวทุกๆกิริยาเป็นการภาวนาเพื่อต่อยอดไปเรื่อยๆ ถ้ามีความสงสัยมีอะไรต่างๆก็ใช้สภาวะเป็นคําตอบ สภาวะอย่างไรเป็นคําตอบ คือให้รู้ตั้งขึ้นอย่างอิสระที่กาย แล้วก็อยู่กับลมสัก 2 คู่ 3 คู่ อยู่เป็นหลัก จากนั้นก็สามารถที่จะอยู่กับกิริยาได้ทั้งหมดทุกๆกิริยาของชีวิต รู้ที่เป็นอิสระ อย่างอิสระ เขาก็ทําหน้าที่รู้ของเขาไป ก็ปฏิบัติอิสระ ต่อได้เลย จะนั่งต่อก็ได้ หรือจะเดินก็ได้ จะไปเดินก็พึงรู้ไว้ว่า ทำสภาวะดังที่อธิบายตอนต้นนะ อะไรที่มันเข้าใจแล้วต้องต่อยอดด้วยการทําสภาวะภาวนาต่อเนื่องนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็สงสัยอีก สิ่งที่เข้าใจแล้วนี้เดี๋ยวก็จะสงสัยอีก ต้องต่อยอด คําตอบคือสภาวะล้วนๆเลยนะ ไม่ใช่ความรู้ เป็นสภาวะล้วนๆ ไม่มีความรู้ไหนตอบได้นะ ต้องสภาวะล้วนๆ
Sat, 09 Dec 2023 - 37min - 702 - ตถาคตบท - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 11/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร เราจะทำอย่างไรให้ใจเชื่อในพระพุทธเจ้า ตถาคตบท (ร่องรอยคือญาณของพระตถาคต) ตถาคตนิเสวิตะ (ฐานะอันสีข้างคือญาณของตถาคตเสียดสีแล้ว) ตถาคตารัญชิตะ (ฐานะอันงาคือญาณของตถาคตแซะขาดแล้ว) จิตที่ปราศจากความพยาบาทคือจิตแบบไหน เมื่อรู้เป็นอิสระ รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ละความโลภ โกรธ หลงได้เอง หยุดความจ้องเพ่งเล็งในโลกได้ เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นสภาวะนี้ปรากฏก็จะลงใจ รู้ที่อยู่ข้างในเมื่อบริสุทธิ์จากความจ้อง เพ่ง เล็ง นิวรณ์ดับทันที รู้อยู่กับอารมณ์อันเดียวคือกาย เมื่อกายสงบ รู้เวทนา รู้จิต รู้สภาพธรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นิมิต เพียงแต่ฝึกให้มีที่อยู่ประจำ พอมีตัวรู้ข้างใน ตัวรู้เค้ารู้กายทั้งกาย มีความนิ่ง รู้ตรงต่ออาการกาย คือ ตัวรู้ไม่เปลี่ยนแปลง ไปรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายคือกิริยาเคลื่อนไหว หรือลมออก ลมเข้า การรู้ตรงต่ออาการ ไม่ต้องใส่ชื่อเรียก ว่ายืน ว่าก้าว พอใส่ชื่อเรียกมันจะไปติดที่ชื่อสมมุติ สรุปคือแค่รู้ ตรงต่ออาการตามความเป็นจริง บริเวณนิมิต เปรียบเหมือนประตูทางเข้าของตัวรู้ เพื่อมีตัวรู้ตั้งขึ้นในกาย พอมีตัวรู้ข้างใน จะอยู่ตรงไหนก็ได้ ตัวรู้เค้าจะรู้กายทั้งกาย อยู่กับความนิ่ง ผู้ปฏิบัติมีความรู้กายทั้งกายเป็นพื้น ไปรู้ตรงต่ออาการกายที่เคลื่อนไหว ปฏิบัติอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน
Sat, 09 Dec 2023 - 38min - 701 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 4 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 10/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พอว่านั่งคู้บัลลังก์ ทุกอย่างจะเข้ามารวมอยู่ที่ศูนย์กาย ตั้งกายตรง ก็จะเกิดการรู้ตัวขึ้นมาทันทีที่ตั้งกายตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า ตัวรู้ที่ดํารงอยู่เฉพาะหน้าที่นิมิตนี้ มันรู้กายทั้งกายไปด้วย รู้ของมันเอง เราไม่จําเป็นที่จะต้องไปทําการรู้อะไร ตัวรู้ที่ตั้งอยู่ที่นิมิตก็จะรู้ใบหน้า รู้กาย รู้อิริยาบถ แล้วก็รู้ลมขณะที่ลมปรากฏ
เฝ้ารู้อยู่ที่เดียว ใหม่ๆก็ทําลมยาว เบา กลาง รู้ แต่ถ้าปล่อยลมเป็นธรรมชาติได้ แล้วก็รู้ได้ จิตไม่หลุดออกไปคิด ก็ปล่อยเป็นธรรมชาติเลย เป็นลมปกติไป แบบไหนก็รู้แบบนั้น แต่ถ้าเราปล่อยลมตามธรรมชาติทันที บางครั้งลมมันเข้าน้อย ออกเยอะ บางครั้งมันเข้ายาว ออกสั้น บางครั้งมันเข้าสั้น ออกสั้น บางครั้งมันเข้าแรง ออกเบา บางครั้งมันเข้าเบา ออกเบา บางครั้งมันเข้าเบา ออกแรง ความแปรเปลี่ยนของลมที่ไม่ได้เรียบไม่เสมออย่างนี้ มันจะทําให้จิตหลุดออกไปคิด จะมีความคิดเข้ามารบกวน เพราะฉะนั้นแรกเริ่มวางตัวรู้ แล้วก็ทําลมเบา กลาง ยาว พอได้แล้วก็ปล่อยเป็นลมปกติ พอปล่อยเป็นลมปกติ ตัวรู้ก็จะเป็นอิสระ สิ่งที่ถูกรู้คือ ลมจะเป็นธรรมชาติ ขณะปัจจุบันมันไม่มีอะไรนะ อัตตาตัวตนก็ไม่มี ชื่อสกุลก็ไม่มี มีแค่กายแค่ใจ คือรูปกับนามที่ตั้งอยู่ และก็รู้ที่เป็นอิสระทำหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่ปรากฏเป็นธรรมชาติผ่านทางลมหายใจ
พอรู้เป็นอิสระตรงกับสิ่งที่ถูกรู้ตรงต่อลมหายใจที่เป็นธรรมชาติ นิ่งอยู่ที่เดียวอย่างนั้น นิวรณ์ก็จะหยุด เพราะมันจะหลับ นิวรณ์จะหยุดทําหน้าที่ ขณะที่ทําหน้าที่รู้ลมอยู่ ตัวรู้รู้บริเวณกายทั่วทั้งใบหน้า กายส่วนบน กายส่วนล่าง รู้ทั้งร่าง และก็รู้ลมไปด้วย กิจคือรู้ลม แต่รู้มันรู้ทั้งกาย กระจายไปทั้งกายเบาๆ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะไปรู้กาย แต่รู้มันกระจายไปทั่วกาย รู้นั้นแหละเรียกว่ารู้ที่เป็นอิสระ เราเพียรรู้ลมแต่ว่ารู้มันรู้กายไปด้วยก็เรื่องของรู้ รู้ที่นิ่งอยู่มันรู้กายไปด้วย แต่กิจของผู้ปฏิบัติคือรู้ลม ลมเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง รู้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง รู้ก็ไม่ใช่ลมลมก็ไม่ใช่รู้ ไม่ต้องไปตั้งความปรารถนาว่าให้รู้มันนิ่งนะ มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ทําหน้าที่แค่เพียรรู้ไป
ขยับนิ้วมือขวา ให้ตัวรู้รู้ได้ ยกมือขวาวางไว้ที่เข่าขวา ขยับนิ้วมือซ้าย ให้ตัวรู้รู้ได้ แล้วยกมือซ้ายไปวางไว้ที่เข่าข้างซ้าย รู้นิ่งอยู่ที่นิมิต ผงกหน้านิดหนึ่งแล้วก็ลืมตาออกจากสมาธิ ก็ให้รู้ยังคงอยู่นะ
Sat, 09 Dec 2023 - 26min - 700 - อินทรีย์ตื่น นิวรณ์หลับ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 9/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ปญฺจ ชาครตํ สุตฺตา ปญฺจ สุตฺเตสุ ชาคราเมื่ออินทรีย์ 5 ตื่น นิวรณ์ 5 หลับ เมื่อนิวรณ์ 5 ตื่น อินทรีย์ 5 หลับ ปญฺจภิ รชมาเทติ ผู้ที่ทําการหมักหมมธุลี คําว่าหมักหมมธุลี เรานึกภาพขี้ฝุ่นละเอียดเล็กๆที่เราไม่ได้ไปทําความสะอาด อาการหมักหมม คือ มันจะมากและก็หนาขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกองฝุ่นละเอียดที่หนามาก เหมือนกระดานบ้านใครที่ไม่เคยถูเลย เขียนยันต์ได้ นั่นคือธุลีที่หมักหมม พระพุทธเจ้าว่า ปญฺจภิ รชมาเทติ หมายความว่า บุคคลจะหมักหมมธุลีเหล่านี้ด้วยนิวรณ์ 5 ปญฺจภิ ปริสุชฺฌติ บุคคลจะบริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์ได้ด้วยอินทรีย์ 5 แต่ถามว่า เราจะต้องคอยไปเอาอินทรีย์แต่ละตัว แต่ละตัว 5 อย่าง มานั่งปฏิบัติ มันไม่ใช่ คือ มันตื่นหรือหลับแค่นั้นเอง ถ้าอินทรีย์มันตื่น นิวรณ์มันหลับ ถ้านิวรณ์ตื่น อินทรีย์ก็หลับ ทีนี้การสะสมธุลีของนิวรณ์เกิดขึ้นอย่างไร ในภารกิจกิจกรรมในชีวิตประจําวันทุกขณะจิตที่ปรากฏ เราคุยกันเรื่องสนุกสนาน เราว่าคลายเครียด นั่งกันมาตั้งนาน เดินกันมาตั้งนาน ก็คุยกันเรื่องสนุกสนาน มันคือการหมักหมมธุลี เราไม่รู้ตัว แต่ในขณะนั้น อินทรีย์มันหลับ นิวรณ์มันตื่น และนิวรณ์นี้มันไม่เคยหลับโดยปกติ เพราะมันเป็นอาหารของอวิชชา ถ้าตราบใดที่เราอยู่กับอวิชชาและโมหะ นิวรณ์จะตื่นของมันตลอด และยามใดที่มันตื่น อินทรีย์ 5 หลับหมด เวลาครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านอธิบายว่า สัทธินทรีย์ อินทรีย์คือศรัทธา ก็คือให้เชื่อในพระพุทธเจ้า ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ให้เชื่อในพระธรรม ให้เชื่อในพระอริยสงฆ์ ให้เชื่อในเรื่องของกรรม แล้วลองนึกดูสิ การที่เราเชื่ออย่างนี้ การที่ไปปลูกฝังความเชื่อตัวนี้ นิวรณ์หลับไหม ไม่หลับ เพราะฉะนั้นสัทธินทรีย์จะเกิดทันทีเมื่อสภาวะรู้บริสุทธิ์ อิสระ รู้ที่เป็นอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติอันเป็นกายและใจเป็นรูปนามนี้ เวลารู้ทํางานจะเกิดอินทรีย์ที่ชื่อสัทธินทรีย์ขึ้น และการที่เพียรรู้นั้นต่อเนื่องไปมันเป็นวิริยินทรีย์ขึ้น ในการที่รู้ทำหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้นี้อะไรเป็นใหญ่ กงล้อของรู้มันทํางานไป ทํางานไป อะไรเป็นใหญ่ตรงนั้น ก็วิริยินทรีย์ คือความเพียรเป็นใหญ่ ถ้ามันหยุดไม่มีความเพียรมันก็ขาด อินทรีย์ก็เป็นใหญ่ วิริยินทรีย์ก็เกิดขึ้น ตอนที่รู้ที่เป็นอิสระทําหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ รู้ที่ทําหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ คือ สติ บางทีเราบอกว่ารู้ นิ่งรู้อย่างอิสระอยู่ที่นิมิตทําหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ รู้ที่เป็นอิสระยังอยู่ไหม ยังอยู่ที่นิมิตแต่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ รู้ตัวหลังนี้เป็นสติ รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ เป็นลักษณะของการระลึก มันทํางานในการระลึกโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจระลึก มันรู้ของมันเอง รู้ตัวนี้เป็นตัวสติ และเมื่อแข็งแรงขึ้นมาก็จะบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า สติปริสุทธิ
รู้ที่เป็นอิสระนิ่งอยู่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ อาการที่มันตรงไปคือตัวสติ เหมือนกับมันอยู่ที่นิมิตนี้ เวลาลมมามันรู้ใช่ไหม รู้ตัวนั้นน่ะเป็นสติ ถ้าไม่มีรู้ นิ่งอยู่ ไม่มีเลย ลมมามันรู้ได้ด้วย รู้ตัวนี้เป็นสติไหม คิดว่าเป็นไหม ลองพิจารณาสิ ไม่มีรู้นิ่งอยู่แล้วมันรู้ลม มือยกก็รู้ จับก็รู้ แต่ไม่มีรู้นิ่งอยู่ ตัวนั้นเป็นสติไหม คิดว่าเป็นสติแต่จริงๆมันเป็นเรา นี่คือเหตุที่พระพุทธเจ้าให้ใช้อานาปานสติ เพราะอานาปานสติพอเริ่มต้นฝึก มันจะนําผู้ปฏิบัติเดินมาแบบนี้ เดินมาแบบถึงรู้ที่นิ่งอย่างมีกําลังที่นิมิต แล้วรู้นี้ถ้านิ่งรู้อยู่ที่นิมิตและตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ได้ ในขณะจิตเดียวกัน มันก็ยังรู้กายส่วนบน รู้กายส่วนล่างอันเป็นภายใน ยังรู้ได้ว่านั่งอยู่ เห็นไหมมันรู้พร้อมๆกันได้เพราะมันมีตัวรู้นิ่งอยู่ แต่ถ้าไม่มีตัวรู้นิ่งอยู่มันจะไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ เช่น ไปรู้ลม เวลารู้ลมมันรู้ได้อย่างเดียว เวลาขาขยับมันเมื่อย โอ้ยขามันเมื่อย เป็นอย่างไร หลุดจากลมแล้ว เพราะมันรู้ทีละอย่าง การรู้ทีละอย่างคือการคิด
นิวรณ์เป็นอาหารของอวิชชา ไม่เคยดับ 1. สัทธินทรีย์จะเกิดทันทีเมื่อสภาวะรู้บริสุทธิ์ 2. เพียรรู้ต่อเนื่องไปเป็น วิริยินทรีย์ 3. รู้ที่ทำหน้าที่รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้คือ สตินทรีย์ รู้ที่มีรู้นิ่งอยู่อย่างมีกำลังที่นิมิต รู้ทั้งกายพร้อมกัน ถ้ารู้ทีละอย่างคือความคิด 4. สมาธินทรีย์ 5. ปัญญินทรีย์ เราไม่แน่วแน่ต่อกิจ เพราะการตื่นของนิวรณ์ ตรวจสอบสภาวะการภาวนาของตนเอง เพียรรู้ จิตตภาวนา เมื่อรู้เป็นอิสระ สิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรมชาติ มีตัวที่เห็นตัวรู้ ตัวที่เห็นตัวรู้เมื่อมีกำลังมากขึ้นจะทำหน้าที่เปลื้องตัวรู้ออกไป เพราะตัวรู้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
Sat, 09 Dec 2023 - 1h 15min - 699 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 3 - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 8/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
เข้าสู่อารมณ์อันเดียว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ตัวผู้รู้เป็นอิสระอยู่ที่นิมิต คํานี้ถ้าใครไม่เข้าใจ หรือยังไม่แน่ใจ หรือทําไม่ได้ อย่าเก็บไว้เฉยๆ ให้ถามนะ มีเวลา มีจังหวะให้ถาม ถามตัวต่อตัวก็ได้ สนทนากับคนอื่นบ้างก็ได้ เพราะมันเป็นตัวเริ่มที่สําคัญมาก กว่าที่จะมีสภาวะว่ารู้อยู่ที่นิมิตเป็นอิสระ กว่าที่จะมีสภาวะนี้เกิดขึ้น ต้องมีชั่วโมงในการฝึกต่อเนื่องมาพอสมควร แล้วมันก็จะไม่แปลกสําหรับที่เราที่จะไม่แน่ใจนะ ไม่แน่ใจได้ สงสัยได้ แต่เราก็อย่าปล่อยไป เพราะมันเป็นตัวเริ่มในชั้นของจิตตภาวนา สมาธิภาวนาเป็นตัวเริ่มแรก แต่นี่เรามาถึงชั้นของจิตตภาวนา มันตรงเข้ามา เรียกว่า เป็นชั้นที่นิวรณ์เบาบาง
สงบกายลงไป ตัวรู้เป็นอิสระที่นิมิต นิ่งรู้อยู่ ให้รู้เป็นแกนกลางอยู่ที่นิมิต แล้วก็ชำเลืองรู้กระจายไปทั่วร่าง เวลารู้กระจายไป กระจายไป สังเกตดูถ้าส่วนใดที่เกร็งอยู่ บีบเค้นอยู่ เน้นอยู่ เค้นอยู่ ก็จะเจอ เราก็ผ่อนคลายด้วยการสงบกายทิ้งลงไป พอผู้รู้เป็นอิสระได้ นิ่งรู้อยู่ที่นิมิต ก็รู้ลมหายใจ เริ่มรู้ลมกระทบยาวเบา ลมกระทบออกยาวเบา ลมกระทบเข้ายาวเบา ลมกระทบออกยาวเบา ลมกระทบเข้ายาวเบา ที่เป็นธรรมชาตินะ ข้ามเข้าสู่ระบบการถูกรู้ที่เป็นธรรมชาติเลย ตรงเข้าไปสู่สิ่งถูกรู้ คือลมที่เป็นธรรมชาติเลย แม้มีการกําหนดอยู่ แต่เราไม่ได้ใส่ใจการกําหนด ตัวผู้รู้ไม่ได้ใส่ใจการกําหนดนั้น ใส่ใจแค่ลมกระทบออกเบายาว ลมกระทบเข้าเบายาว กระทบออกเบายาว กระทบเข้าเบายาว ตัวรู้ก็รู้เบาๆ รู้ลมนั้น กระทบออก รู้เบาๆยาว กระทบเข้า รู้เบาๆยาว ตัวรู้ก็รู้เบาๆ ไม่ได้จ้อง ไม่ได้เพ่ง ไม่ได้เล็ง ไม่ได้ปัก ไม่ได้หวัง ไม่ได้คาดหมาย ไม่ปรารถนาอะไร รู้ลมกระทบออกเบายาว รู้ลมกระทบเข้าเบายาว รู้เป็นอิสระนิ่งอยู่ที่นิมิต นิ่งรู้อยู่ที่นิมิตเป็นหลักไว้ก่อน ส่วนรู้ลม ทันบ้างไม่ทันบ้างก็ไม่เป็นไร คอยรู้ไป นิ่งรู้อยู่ที่นิมิต รู้ลมกระทบออกเบายาว รู้ลมกระทบเข้าเบายาว ในขณะที่รู้ลมกระทบออกลมกระทบเข้าเบายาวอยู่นั้น ตัวรู้ถ้ารู้ลมนั้นเบาๆ มันจะกระจายรู้ ไปรู้กายส่วนอื่นด้วย แต่แกนของรู้อยู่ที่นิมิต ทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แค่รู้ลมกระทบออกเบายาว ลมกระทบเข้าเบายาว รู้มีกําลังนิ่ง แต่ว่ารู้ทําหน้าที่รู้แบบเบาๆต่อลมกระทบออก ทําหน้าที่รู้เบาๆต่อลมกระทบเข้า รู้จึงล้นมีกําลังล้นกระจายไปรู้ส่วนอื่นที่เป็นกาย ส่วนบน ส่วนล่าง จนกระทั่งว่าสามารถที่จะรู้กายทั้งกาย พอรู้กายทั้งกายก็นําพาเข้าไปสู่การสังเกต นิ่งรู้อยู่ เกิดการสังเกตลมขึ้นมาทันที ลมก็ไม่ใช่เรา พอรู้กระจายไปทั่วร่าง แล้วลมรู้บ้างไม่รู้บ้าง เบาบ้าง หยาบบ้าง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ละเอียดบ้าง ไม่ไปคาดหมายว่าจะเป็นลมเบา ลงบาง ลมยาว ลมสั้น รู้ตามความเป็นจริงของลมที่กระทบ ลมกระทบเบา จนแทบจะไม่กระทบอยู่แล้ว จิตก็เข้าไปสังเกตการหายใจ สติจะทําหน้าที่สังเกตการหายใจ บางครั้งมีการหายใจอยู่แต่ไม่มีลมกระทบ มันเบามาก ตัวรู้ก็สังเกตการหายใจนั้น มันจะมีตัวสังเกตการหายใจแทนการรู้ แต่เราไม่ต้องไปพยายามทําแทนมันนะ มันเกิดของมันขึ้นมาอย่างนี้ สังเกตการหายใจ สังเกตร่างกายทั้งร่าง สังเกตตัวผู้รู้ที่นิ่งอยู่
ถ้ามีความสงสัยในเรื่องของสภาวะที่กําลังปรากฏ ผ่านไปนะ ทิ้งเลย เข้าไปสู่ความแค่รู้ พอสงสัยเรื่องไหนผ่าน เข้าไปสู่ความแค่รู้
นั่งรู้ไปอย่างนี้ หลุดบ้าง ง่วงบ้าง หลุดบ้าง ง่วงบ้าง ไม่เป็นไร
Sat, 09 Dec 2023 - 30min - 698 - กรรมฐานประคอง - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 7/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร นอกเหนือจากเรามั่นคงกับการภาวนาแล้ว ในระหว่างวันต้องเติมพุทธานุสสติลงไป เติมเมตตาลงไป เติมมรณสติ พวกนี้จะคอยช่วยพยุง
พุทธานุสสติ ถ้าเราเจริญระลึกไปเรื่อย เราทําภาวนาอย่างนี้ให้ตัวรู้ที่เป็นอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ดูกายดูใจ ดูไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แล้วในระหว่างนั้นให้ทําพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกไปเรื่อยๆ ระลึกแบบโยนิโสมนสิการ ให้เกิดการเข้าใจรับรู้ได้ ลงใจว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อเรามาก พิจารณาไประลึกถึงไปจนเห็นคุณของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าท่านมีพระคุณต่อเราเหลือเกิน เหมือนกับเราอยู่ในภายใต้ร่มเงาแห่งความสงบของพระพุทธเจ้า รู้สึกได้ถึงขนาดนั้น ตัวนี้จะทําให้เกิดสัทธินทรีย์ เป็นตัวที่จะประคองความเพียรของเราอย่างฉันทะเพิ่มขึ้น
เมตตา เพราะว่าจิตหยาบๆ จิตพื้นด้านนอก ผิวนอกของจิต เป็นปฏิฆะ กระทบง่าย เป็นปฏิฆะ เป็นพยาบาท เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจมันเฉยๆ สังเกตไหม สิ่งถูกใจ บางทีก็ดีแต่มันเฉยๆ แต่ว่าไปกระทบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ มันไม่ค่อยเฉยใช่ไหม เพราะมันอยู่ผิวด้านนอกของมัน พอกระทบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ มันมีปฏิฆะ หงุดหงิด ไม่ชอบ แต่ถ้าไปเจอกับสิ่งที่ถูกใจ มันเฉยๆได้นะบางที แต่สิ่งที่ไม่ถูกใจไม่ค่อยเฉยนะ เพราะว่ามันอยู่ผิวนอกของมัน เพราะฉะนั้นตัวที่จะคอยกำราบ เหมือนกระดาษทรายที่คอยขัดเกลาผิวนอกที่ขรุขระอยู่ให้เรียบ จิตเหมือนกันที่หยาบๆอยู่นี้ขัดเกลาด้วยการแผ่เมตตา ถ้าเราอยู่ในวัดมาปฏิบัติธรรมเราก็เอาจากคณะผู้ปฏิบัติด้วยกัน นี่มี 20-30 คนดูไปทีละคนเลย แผ่ไปทีละคน รู้สึกไปทีกับคน ให้มันเกิดความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ไปในบุคคลนั้นและยอมรับในตัวบุคคลนั้นว่า เขาก็มีลักษณะเฉพาะมีกรรมเป็นของเขาเอง เราก็มีกรรมเป็นของเราเอง อะไรที่มันเป็นส่วนทําให้เขาต้องได้รับความทุกข์ อะไรที่มีส่วนทําให้เขาต้องประสบกับอุปสรรคของชีวิตของการภาวนาก็ขอแผ่เมตตานี้ให้เขาได้ผ่านสิ่งนั้นๆไปอย่างโดยสวัสดีเถิด คือ จิตถ้าเกิดขึ้นมาแบบนี้มันจะขัดเกลาทําให้มันนุ่มขึ้น สลับกับการดูให้ตัวรู้บ่มความตั้งมั่นไปด้วย จิตจะนุ่มแล้วจะเอื้อ จะกรุณา จะเกิดการสนับสนุนต่อการภาวนาได้ง่ายขึ้น
อสุภะ ยามที่ตัวรู้นิ่งรู้อยู่ในอิริยาบถที่เราเดินอยู่ก็ดีหรือนั่งอยู่ก็ดี เวลาเรานั่งเก้าอี้หรือนั่งเล่น แต่ว่าเราอยู่กับตัวผู้รู้ เอามันดูอสุภะด้วย ดูกายให้เป็นอสุภะ เวลาดูให้เป็นอสุภะดูอย่างไร ตัวรู้อยู่นี่ ถ้าดูไปที่มือที่แขนเอามือจับ จากผิวหนังดูมันลงไป แหวกผิวหนังนี้ลงไป เห็นเป็นเลือด เห็นเป็นเปลวมัน เห็นเป็นพังพืด เห็นเป็นเนื้อ เห็นเป็นลิ่มเนื้อ เห็นเป็นเส้นเอ็น เส้นเลือด แล้วก็เห็นเป็นกระดูก ใช้สัญญาเข้าช่วยนะ กระดูกแล้วลึกๆลงไปก็เป็นเยื่อในกระดูก จุดเดียวทิ่มมันลงไป มันเป็นอสุภสัญญา สัญญาชนิดที่เป็นอสุภะ ด้วยตัวรู้ที่มีสติเข้าไปทำการตัวนี้อยู่ แตะไป แตะไป หัดดูบ้าง แล้วก็ดูไปทั้งตัว เพราะว่าตัวนี้จะเป็นตัวที่สำรอกราคานุสัยที่มีอยู่ภายใน ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งต่อจากปฏิฆานุสัย ให้รู้จักมุมมองที่เป็นจริงที่ไม่งามนี้ด้วย
เมตตากับอสุภะจะทําให้กามฉันท์นิวรณ์และพยาบาทนิวรณ์เกิดยากขึ้น การเข้าสู่อารมณ์อันเดียวของจิตก็จะง่ายขึ้น ตัวที่ถูกต้องที่สุดของจิตในการเจริญอบรมจิตตภาวนา แรกสุดต้องเดินออกจากนิวรณ์ก่อน
ตัวหลักคือ อานาปานสติ และก็ต้องมีตัวประคองคือ เมตตา อสุภะ และอีกตัวหนึ่งคือ มรณสติ มรณสตินี่ยกนอกจากพุทธานุสสติ เจริญมรณสติตัวเดียวได้ทั้งหมดเลย เราต้องพิจารณาไปให้เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดาที่จะต้องมีกับตัวเอง เวลาพิจารณามรณสติอย่าไปพิจารณามรณสติที่รูปนามอื่นนะ ต้องพิจารณาที่รูปนามนี้ ของตัวเองนี้ อสุภะก็ดี มรณสติก็ดี ความตายก็ดี การเจริญอสุภะก็ดี ต้องพิจารณาเจริญในรูปนามนี้ อย่าไปเจริญในรูปนามอื่น แม้ไปเห็นซากศพอื่นๆตั้งนอนอยู่ข้างนอก เราพิจารณาอย่างไรก็จะไม่เป็นธรรมะ จะเป็นธรรมะเมื่อเราน้อมเข้ามาที่รูปนามนี้จึงจะเป็นธรรมะขึ้นมา อันนี้เรียกว่า ข้อกรรมฐานประคองประคองเพื่อให้ตัวกรรมฐานหลัก คือ อานาปานสติของเราเดินได้ง่าย จิตเข้าสู่อารมณ์อันเดียวได้ง่าย นิวรณ์เกิดยาก ก็พยายามปรับเปลี่ยนทำ ไม่ใช่ว่าเพิ่มงานนะแต่มันเป็นเรื่องที่ควรทํา จริงๆไม่ได้เพิ่มงานนะลดด้วยซ้ำ ลดงานลงมาเยอะเลยนะ ของเราไม่ค่อยเน้นเรื่องทําวัตรเช้า ทําวัตรเย็นก็ไม่ค่อยเน้น เอาเวลาให้มันเยอะที่สุด ถ้าทําวัตรหรือสวดมนต์กินเวลาเยอะมาก เราไปใช้ที่บ้านก็ได้ ไม่ได้ว่าไม่ดีนะ ไม่ใช่ไม่ดีแต่ว่าโอกาสในการที่เราจะทําวัตร โอกาสที่เราจะสวดมนต์มันมีเยอะ เพราะไม่ได้ยากเย็นอะไร มันมีหนังสือมีรูปแบบของมันอยู่ แต่โอกาสที่จะภาวนา ฟังเทศน์ฟังธรรมนี่มันยาก
Sat, 09 Dec 2023 - 33min - 697 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 2 การเห็นตัวผู้รู้ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 6/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
กำลังของความนิ่งก็จะอยู่กับตัวผู้รู้ที่มีกำลังเพิ่มขึ้น ในความนิ่งรู้ที่กายทั้งหมดรวมทั้งลมซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้แบบไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้สนใจ มันรู้ตั้งอย่างอิสระตรงต่อกายต่อใจอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วมันก็เห็นตัวผู้รู้ที่นิ่งอยู่ เห็นการรู้ เป็นการทํางานของสติที่ตรงต่อกายต่อใจ ในสภาพความนิ่งรู้ที่อยู่ในกรอบของกายของใจซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ มันจะเนียน ละมุน นั่นเข้าสู่ความสงบ แบบมีสติ ลมหายใจเบา แผ่วบ้าง ละเอียดบ้าง ยาวบ้าง สั้นบ้าง ก็เป็นเรื่องของเขา
ผู้รู้ที่เป็นอิสระและรู้ตรงต่อสิ่งที่ปรากฏอย่างบริสุทธิ์ ไม่ได้ชอบอะไร ไม่ได้ไม่ชอบอะไร ไม่ได้คิดอะไร แต่มันรู้ของมันเอง ลมหายใจเป็นเพียงแค่อยู่กับการหายใจ นี่เป็น ปณีโต เพราะมันอิ่ม เย็น สบาย คลายเวทนา มีเวทนาแต่เหมือนไม่มี อันนี้เป็น อเสจนโก เกิดความแช่มชื่น จิตราบเรียบสะอาด สว่างภายใน เป็น วิธูโม มันสํารอกตัวมันเองคายออก ส่วนที่เป็นปฏิฆานุสัย คือ ความหงุดหงิด อึดอัด ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มันสํารอกออกมาเป็น วิธูโม เหมือนกับ ควันที่อัดอยู่ภายใน พอเปิดช่องมันก็จะคายออกมา พุ่งออกมาเป็นธรรมชาติของมัน เรียกว่า วิธูโม มันเป็น อนิโฆ คือ ไม่อึดอัด ไม่คับแค้น ไม่อัดแน่นอะไร เพราะมันอิสระอย่างธรรมชาติ รู้เด่นอยู่นิ่งภายใน อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ซึ่งมันรู้ได้ตามที่มันปรากฏ มันเป็น นิราโส คือ ไม่ได้หวังอะไรในความอิสระของความนิ่งรู้ อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้นั้น ไม่ได้มีหวังอะไร มีความร่าเริงภายในเล็กๆเกิดขึ้นได้ สลับกับความนิ่งของตัวรู้ที่ตั้งมั่นอยู่ ไม่เกิดความกระสับกระส่าย ไม่เกิดความสลับไปมา ไม่เกิดการโลดแล่น แต่มันนิ่งรู้อย่างเป็นอิสระและธรรมชาติอยู่อย่างนั้นเกิดการสังเกตตัวผู้รู้ที่บ่อยขึ้นจากความตั้งมั่น จากความร่าเริง จากความที่มันแน่วแน่อยู่อย่างอิสระ มันก็สังเกต ตัวผู้รู้บ่อยขึ้น เห็นตัวผู้รู้เรียกว่าเห็นนาม เห็นสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่าเห็นรูป เห็นรูปเห็นนาม
เมื่อสังเกตตัวเห็นที่มีกําลัง ตัวผู้รู้ก็มีอยู่แต่เหมือนกับไม่มี เพราะว่ามันอิสระจนไม่ได้เอาอะไร ตัวทํางานตัวนี้เป็นตัว ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เพียรอย่างนี้เป็น วิริยสัมโพชฌงค์ ความเป็นอิสระ ความเป็นธรรมชาติที่วางตัวลงตัวได้อย่างนี้เป็น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความราบความเรียบ ความเย็น ความสบาย ความอิ่ม ก็เป็น ปีติสัมโพชฌงค์ มันสงบในลักษณะหดตัวเข้าไปภายใน อันนั้นเป็น ปัสสัทธิ ทั้งกายปัสสัทธิ คือ กายสงบ จิตตปัสสัทธิ จิตสงบ ด้วยการนิ่งรู้อย่างอิสระที่เป็นธรรมชาตินั้น มันก็เกิดการโดดเด่นที่ตั้งมั่นอยู่ ความตั้งมั่นอย่างนั้น ที่มันจะสงบกาย สงบอารมณ์ แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ มันเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ รู้นิ่งอย่างอิสระตามธรรมชาติของรู้ มีสิ่งถูกรู้ปรากฎเป็นกายเป็นใจ เป็นรูปเป็นนาม นั่นเป็นขันธ์ 5 แต่มันไม่เอาอะไร สิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่ได้เอา ตัวผู้รู้ก็ไม่ได้เอา แต่มันเห็น เห็นตัวผู้รู้ เห็นตัวสิ่งที่ถูกรู้ แต่มันไม่มีเราในผู้รู้ ไม่มีเราในสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ได้เอาตัวผู้รู้ ไม่ได้เอาสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ได้เอาอะไรเลย มันวางเฉยอยู่ รู้ก็ทํางานของรู้ไป สิ่งที่ถูกรู้ก็ปรากฏเป็นธรรมชาติของสิ่งที่ถูกรู้ไป มันเห็นทั้งหมด เป็นคู่ เห็นทั้งตัวผู้รู้ เห็นทั้งสิ่งที่ถูกรู้ แต่มันไม่ได้เอาอะไร ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น ไม่มีความปรารถนา ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย มีเหมือนไม่มี มันวางเฉยอยู่ เป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ บ่มความตั้งมั่นด้วยการนิ่งรู้อย่างอิสระต่อสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นธรรมชาติ กําลังของอุเบกขาก็มีกําลัง สติก็จะบริสุทธิ์ขึ้น ความนิ่งก็จะเป็นฐานให้กับสติ สตินิ่งรู้อยู่
ความปกติแห่งจิตเป็น สีลวิสุทธิ เกิดการหมดจดของศีล ความผุดผ่องแห่งจิตเป็น จิตตวิสุทธิ การเห็นตัวผู้รู้ เห็นสิ่งที่ถูกรู้ตรงๆว่ามีอยู่ ไม่มีอะไรไปเคลือบแคลงสงสัยในตัวผู้รู้และในสิ่งที่ถูกรู้เป็น ทัสสนวิสุทธิ เห็นบริสุทธิ์หมดจด หรือ ทิฏฐิวิสุทธิ คือ เห็นหมดจด มันตรงๆบริสุทธิ์ธรรมชาติ ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกแซง เราไม่ได้เข้าไปจัดการอะไร และก็ไม่มีเราอยู่ในทุกๆสภาพธรรมที่ปรากฏเป็น ทิฏฐิวิสุทธิ เห็นที่หมดจด ทุกๆสภาพธรรมกายก็ดีใจก็ดี หรือว่ารูปนามก็ดี ล้วนแต่เป็นอนิจจัง คือ มันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา คือ หาตัวตนแก่นสารไม่มี ในรูปธรรมนามธรรม ในกายในใจนั้น ตัวจิตผู้รู้ก็ดี ตัวสิ่งที่ถูกรู้ก็ดี ตัวที่ทําหน้าที่รู้ก็ดี ล้วนแต่เป็น อนิจจธรรม คือ มันไม่เที่ยงเป็น อนัตตธรรม คือ มันไม่มีอัตตาอะไร ไม่มีตัวตนตรงไหนแม้แต่อันเดียว เพียงแต่มันมีอยู่ มีความไม่เที่ยง มีการเป็นอนัตตาทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งตัวผู้รู้ ทั้งสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็นิ่งรู้อยู่กับการหายใจ รู้กระจายไปทั่วทั้งกาย เป็นธรรมชาติ เป็นอิสระ เป็นปกติ ตามธรรมดาของเขา
Sat, 09 Dec 2023 - 1h 00min - 696 - อนุโยคาย สาตจฺจาย - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 5/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร ทะลุชื่อ นามสกุล อัตตาตัวตน ด้วยการสงบกาย ลืมตาดูว่ามีตัวผู้รู้ที่เป็นอิสระตั้งขึ้นไหม ถ้ามันตั้งขึ้นได้ก็อยู่กับมัน ไม่ต้องไปบังคับ ถ้าอยู่แล้วมันหลุดก็รู้สึกบ่อยๆ ระลึกบ่อยๆให้มันอยู่อย่างต่อเนื่อง อาจจะเว้นระยะบ้าง แต่เราก็ระลึกมันบ่อยๆ ให้มันตั้งขึ้น
การระลึกเพื่อให้ตัวรู้อยู่อย่างอิสระเป็น สาตจฺจาย คือ เป็นการต่อเนื่อง ตัวที่ระลึกแรกเป็น อนุโยคาย เรียกว่า การเพียรประกอบ การเพียรประกอบแล้วก็ต่อเนื่อง ใช้ระลึกบ่อยๆ บ่อยๆต่อเนื่องเรียกว่า สาตจฺจาย ตัวนี้เป็นวิริยะ พอทําบ่อยๆมันก็จะเกิดฉันทะ คือ ใจน้อมไปเองตามความเพียรที่ทําอย่างต่อเนื่อง น้อมเข้าไปเพื่อการระลึกนั้นเพื่อการนั้น เรียกว่าทําจนมันชอบ คือไม่ใช่เราชอบนะ ทําจนชํานาญและมันชอบ คือ จิตมันเป็นของมันเองตามกําลังที่มี ซึ่งไม่ได้จากอย่างอื่น ได้จากการที่เราเพียรระลึก เรียกว่า อนุโยคายทําบ่อยๆ โดยที่ไม่ได้อยากได้อะไร ไม่ได้หวังอะไร ทําไปอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้เอาอะไรเข้าไปจัดการมันมากนัก แค่ระลึก เพราะว่าความชํานาญที่เราเพียรทําบ่อยๆจะออกมาสู่ชั้นของสัญชาตญาณ สัญชาตญาณนี้เกิดจากการที่เราทําอะไรบ่อยๆแล้วมันก็ไปปรับพื้นใจ สัญชาตญาณ คือ ธรรมชาติของจริงของจิต สัญชาตญาณนี้จะเกิด 2 อย่าง สัญชาตญาณตามอํานาจของกิเลส และ สัญชาตญาณของสติสัมปชัญญะ สัญชาตญาณ แปลว่า ญาณที่มันเกิดเอง ตัวหยั่งรู้ที่เกิดเองตามธรรมชาติของมัน เรียกว่า สัญชาตญาณ ถ้ามันเกิดตามอํานาจของกิเลสก็เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดตามกําลังของความตั้งมั่นก็เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
ถ้าเราระลึกบ่อยๆ เพียรระลึกบ่อยๆ เป็น อนุโยคายคือ เพียรประกอบบ่อยๆ ก็จะเป็นสัญชาตญาณอีกแบบหนึ่ง แรกๆที่ยังไม่เป็นสัญชาตญาณ เราระลึกได้แต่มันไม่มา เราก็ทําองค์ประกอบของมัน เพื่อให้ตัวผู้รู้ตั้งขึ้น ทําอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ จนเพียงแค่ระลึกมันก็มาแล้ว เริ่มเข้าสู่ชั้นสัญชาตญาณ ต่อไปไม่ต้องไม่ทันระลึกเลย เพียงแค่รู้สึกว่าตัวรู้ไม่อยู่ ตัวรู้ก็มา มันจะเริ่มเป็นสัญชาตญาณที่มีกําลังและก็ถี่มากขึ้น เพราะฉะนั้นในการภาวนาเขาจึงพูดถึงเรื่อง วสี ความชํานาญ แต่ในวสีที่เราอ่านหรือที่เรารู้จัก อาวัชชนะ สมาปัชชนะ อธิฏฐานะ วุฏฐานะ ปัจจเวกขณะ คือ มันเกิดความชํานาญในเรื่องของการเข้า ชํานาญในเรื่องของการอยู่ ชํานาญในเรื่องของการออก ชํานาญในเรื่องของการพิจารณา ชํานาญในเรื่องของการระลึก ความชํานาญอย่างนี้ อย่างระลึกเราก็ระลึกอยู่ใช่ไหม การเข้าเราก็เข้าอยู่ใช่ไหม การออกเราก็ออกอยู่ การพิจารณาเราก็พิจารณาอยู่ มีการเข้าการออก การระลึก การพิจารณา ทําอย่างนี้ให้ชํานาญ พอระลึกจนชํานาญ เข้าจนชํานาญ อยู่จนชํานาญ ออกจนชํานาญ พิจารณาจนชํานาญ อันนี้เป็นวสีหมด ชํานาญแต่ละตัว และเมื่อชํานาญทุกอย่าง มันมีกําลัง ทําบ่อยๆ มันจะรวมเป็นอันเดียวกัน ออกมาเป็นสัญชาตญาณ ในสัญชาตญาณนั้น จึงมีการเข้า การออก การระลึก การอยู่ การพิจารณา รวมอยู่ในนั้น
วสี ตัวที่ชํานาญนี้ พอมันชํานาญแล้ว มันจะปรับให้ร่างกายมีความสมดุล คือ รูปที่เป็นที่อาศัยของนามนี้เกิดความสมดุล แล้วมันก็ปรับลงไปถึงชั้นโน่น ถ้าคนที่ทําสมาธิที่เข้าฌานบ่อยๆ DNA จะเป็นแบบหนึ่ง การเผาผลาญทางร่างกายก็จะเป็นแบบหนึ่ง ความต้องการของออกซิเจนก็จะเป็นแบบหนึ่ง มันปรับของมันขึ้นมาหมด ถ้าวสีนะ ถ้าชํานาญขึ้นมา ทําบ่อยๆเพราะฉะนั้น อนุโยคาย แปลว่า เพียรประกอบ สาตจฺจาย คือ เนืองๆต่อเนื่อง ทําได้ทุกขณะ ทําได้ทุกเวลา พอชํานาญแล้ว อยู่ในอิริยาบถไหน ทํากิจอะไรอยู่ก็ทําได้หมด เหมือนตาที่ลืมอยู่ อะไรผ่านมามองได้หมด สัญชาตญาณนี่ก็เหมือนกัน เวลาคนไปอบรมอะไรมา อย่างพวกพุทโธ เด็กๆก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ เวลาตกอกตกใจ ไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย เฮ้ย พุทโธ ธัมโม สังโฆ บางคนเห็นไหม มันมาจากชั้นสัญชาตญาณ ไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย ใช่ไหม ไม่มีความตั้งใจอะไรเลย มันก็อุทานออกมา เพราะฉะนั้นถ้าเราอบรมเพียรระลึกบ่อยๆ มันก็จะชํานาญ ชํานาญมันก็จะเป็นสัญชาตญาณ ตัวรู้ที่เกิดขึ้นเองเป็นสัญชาตญาณ ถ้าตัวรู้ที่เกิดเองตามกําลังของกิเลส ก็เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ตัวรู้ที่เกิดเองตามกําลังของจิตผู้รู้ที่อยู่กับความตั้งมั่นก็จะเป็นสัญชาตญาณอีกแบบหนึ่งนะ มันพลิกกลับกันมา ดังนั้นเราต้องเพียรประกอบเนืองๆต่อเนื่องบ่อยๆ การอยู่ในคอร์สมันก็จะดีอย่างนี้ ก็เพื่อจะได้เพียรประกอบต่อเนื่องบ่อยๆ
Sat, 09 Dec 2023 - 12min - 695 - ความเศร้าหมองและผ่องใสของจิต - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 4/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร ขณะที่ตัวผู้รู้นิ่งรู้อยู่กับลม นิ่งรู้อยู่กับอาการกาย นิ่งรู้อยู่กับอาการของใจ มันสงัดออกมาจากอกุศลโดยอัตโนมัติ เป็นคุณสมบัติของจิตที่เกิดในขณะนั้น นิ่งรู้อยู่ รู้นิ่งอยู่ที่นิมิต แล้วจะไปนั่งคิด เป็นกามวิตก เป็นพยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมรรคทั้ง 8 ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันของคน ภูมิจิตของคนเปลี่ยนไปเพราะมันมาอยู่กับสัมมา ไม่ไปอยู่กับมิจฉา แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม หิวข้าวก็ต้องกิน ง่วงต้องนอน เหมือนเดิมหมดทุกอย่างแต่มันเป็นสัมมนา นั่นคือมัคคสมังคี มันเป็นชีวิตที่เหมือนเดิมปกติหมดทุกอย่าง เพียงแต่จากมิจฉามันพลิกมาเป็นสัมมาเฉยๆ ที่เราปฏิบัติกันอยู่นี้พลิกจากมิจชาให้มาเป็นสัมมาเฉยๆ แล้วเราตั้งใจจะไปพลิกมันได้ไหม ความเห็นผิดตั้งใจจะให้มันเห็นถูกได้ไหม คิดผิดตั้งใจจะให้มันคิดถูกได้ไหม ไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากคุณสมบัติของจิต เวลาพูดผิดเป็นมิจฉาอยู่จะพูดให้เป็นสัมมาได้ไหม มันเกิดขึ้นตามคุณสมบัติของจิต
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สัตว์เศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ผุดผ่องบริสุทธิ์เพราะจิตบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นปฏิบัติการทั้งหมดที่เราฟังให้มันเกิดความรู้ ความเข้าใจ และก็ปฏิบัติตรงให้มันถูกต้องนี้ เพื่อชําระสะสางอาคันตุกะกิเลสที่จรเข้ามาสู่จิตและทําจิตให้มัวหมอง เศร้าหมอง ให้มีมลทิน เราก็เลย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา ทรงตัวจิตผู้รู้ให้วางอยู่ที่นิมิตอย่างอิสระ โดยธรรมชาติจิตที่มันรู้อยู่เป็นประจํา รู้อยู่ เป็นคุณสมบัติของจิต จิตจะมีคุณสมบัติคือรู้ เป็นมิจฉาก็รู้ เป็นสัมมาก็รู้ ธรรมชาติของจิตเป็นทาสรู้ มันรู้ของมัน ต้องมีรู้ แต่รู้ที่อยู่กับอุปกิเลสที่ย้อมจิต คุณสมบัติของจิตถูกอุปกิเลสเข้ามาย้อมอยู่ รู้ที่อยู่กับอุปกิเลสก็ปรุงก่อขึ้นมาเป็นอาสวะ เป็นสังโยชน์ เป็นอนุสัย ทีนี้มันซักฟอกไปแล้ว รู้ยังอยู่ไหม รู้เดิมของจิต คุณสมบัติของจิต รู้ก็ยังอยู่ แต่เป็นสัมมา รู้ตัวนี้ที่ถูกซักฟอกแล้วอยู่กับความผุดผ่องแห่งจิตอย่างมีกําลัง นิ่งรู้อยู่นี้เรียก สัมมาญาน องค์ประกอบของมันก็คือตัวเดิมๆ คือ ตัวเห็น ตัวคิด ตัวพูด ตัวทํา ตัวเลี้ยงชีวิต ตัวพยายาม ตัวระลึก ตัวตั้งใจ ตัวเดิมๆที่มีอยู่นี้ แต่จิตที่บริสุทธิ์ รู้ที่มีอยู่ทําให้ตัวคิดเป็นสัมมา ทําให้ตัวเห็นเป็นสัมมา ทําให้ตัวพูดเป็นสัมมา ทําให้ตัวเลี้ยงชีวิตเป็นสัมมา ทําให้ตัวเพียรเป็นสัมมา ทําให้ตัวระลึกเป็นสัมมา ทําให้ตัวตั้งเป็นสัมมา เวลามันประชุมกันก็ประชุมกันด้วยเรื่องแค่นี้เอง ไม่ได้ประชุมกันอย่างอื่น แล้วสิ่งเหล่านี้ที่พูดมา ใครให้เราได้ ถ้าให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อย่ามาคุยว่าศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ อย่ามาพูด มันเพ้อเจ้อ ต้องให้สิ่งเหล่านี้ได้สิ จึงจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากไหน ต้องทําเองใช่ไหม ต้องฝึกฝนด้วยตัวของเราเองเท่านั้น ดูเหมือนแรงนะเวลาพูด แต่มันไม่ใช่ เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เราไม่พูดกันมานานมาก เราปล่อยให้มรรคผลนิพพานนี้เป็นเรื่องที่อยู่ไกลสุดเอื้อม ปล่อยให้ความบริสุทธิ์แห่งจิต ปล่อยให้มรรคผลนิพพานไปอยู่เหมือนยอดเขาอะไรสักที่หนึ่ง สูงเหลือเกิน ไกลเหลือเกิน หนักเหลือเกิน ลําบากเหลือเกิน ที่จะเข้าถึงได้ ทั้งๆที่มันอยู่ข้างใน เรียนรู้กันมาไม่รู้สักกี่เล่มหนังสือ จบไม่รู้สักกี่สํานัก มาตายน้ำตื้นเอาตรงนี้ ตรงที่ว่าในปัจจุบันนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้วนิพพาน อ้าว ไม่พูดถึงนิพพานพูดถึงอะไร มันต้องกล้า นั่งสมาธิเอาอะไร เดินจงกรมเอาอะไร ต้องกล้าที่จะบอกกับตัวเอง เปิดออกมาให้มันระเบิดออกมา ไม่อย่างนั้นมันก็เหลาะแหละอยู่นี่แหละ
เรามันมีอยู่ 2 ขั้วเท่านั้นเอง ถ้าพูดในเรื่องของมรรคก็มิจฉากับสัมมา พูดในเรื่องของจิตก็คือ อวิชชากับวิชชา พอพูดถึงเรื่องของอวิชชากับวิชชา เราก็รู้สึกวิชชานี่มันไกลเกิน การปฏิบัติอย่างพวกเราวิชชาไม่ไกลแล้ว และการที่จะละอวิชชาก็ไม่ยากแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฉันตั้งใจจะละอวิชชา ฉันยืนอยู่นี่กําลังจ้องเพื่อที่จะละอวิชชา ถ้าอย่างนี้ไม่ได้ ยืนจนขาแตกเป็นผุยผงก็ไม่ได้ ละอวิชชา วิชชาเกิด ตามหลักของพระพุทธเจ้าจะต้องเข้าไปถึงกายแท้ๆใจแท้ๆ เข้าไปถึงกายแท้ๆใจแท้ๆได้อย่างไร ก็ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทํา แม้นว่าท่านเป็นพระสัพพัญญูแล้ว ท่านยังต้องใช้ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา เพราะว่าแม้รู้อยู่ข้างในก็จริง แต่ภารกิจที่ท่านทําแต่ละวัน ยังมีกลไกของสมมติเข้ามาเกี่ยวพัน เวลาท่านจะทําอะไรที่มันเป็นพิเศษ ท่านก็ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา ให้มันตั้งขึ้น ระเบิดขึ้นมา ฟูมฟักขึ้นมาเต็มที่ 100% ของมัน
Fri, 08 Dec 2023 - 1h 31min - 694 - นำปฏิบัติบัลลังก์ที่ 1 นิ่งรู้ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 3/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พระสารีบุตรจึงกล่าวไว้ในเรื่องของลมว่า รู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกหายใจเข้า ท่านก็กล่าวไว้ 3 แบบ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง เราก็รู้ไปตามนั้นโดยไม่ได้หวังอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องไปตกแต่งอะไร
จากการทําลมยาวก็ปล่อยลมให้ปกติ ถ้ากายสงบนิ่งไม่มีเกร็งในส่วนหนึ่งส่วนใด มือวางนิ่ง ลําตัวตั้งตรง ใบหน้านิ่ง แรงสั่นสะเทือนกระเพื่อมของกายก็มีแค่ลมหายใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ร่างกายก็มีการสั่นสะเทือน เมื่อร่างกายสั่นสะเทือนตัวรู้ก็รู้ได้ ถ้ามันรู้ก็รู้ไปก็แค่รู้ไปเฉยๆ ร่างกายสั่นสะเทือนตัวรู้ก็รู้ได้ รู้ลมรู้การสั่นสะเทือนของกายนี่เรียกว่ารู้รูป เกิดความรู้สึกขึ้นนี่เรียกว่ารู้ความรู้สึก แค่รู้ นี่รู้เวทนา มีความคิดเกิดขึ้นก็รู้ เรียกว่า รู้จิต รู้ความคิด กายยิ่งสงบมากเท่าไรความรู้สึกก็จะเกิดขึ้นง่ายเท่านั้น เมื่อความรู้สึกสงบลงไปความคิดก็จะเกิดขึ้น เมื่อความคิดสงบลงไปความผุดผ่องของจิตก็จะเกิดขึ้น
ตัวรอที่รู้นี้กับตัวรู้ที่คลออยู่ คือ ตัววิตกวิจาร ถ้าเพียรรู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวรอก็จะสงบตัวเองไป ตัวคลอก็จะสงบตัวเองไป ตัวรู้ก็จะเป็นอิสระมากขึ้น สิ่งที่ถูกรู้ก็จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น ความรวดเร็วของตัวรู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น เรียกว่า เท่าทันลมกระทบออกลมกระทบเข้า ความแผ่วเบาของลมนั่นคือธรรมชาติ เป็นความปราณีต ความแผ่วเบาเป็นความปราณีตของลมนั่นหมายความว่า ตัวผู้รู้ก็ปราณีตขึ้นมีกําลังเพิ่มขึ้น ตัวรู้ที่มีกําลังเพิ่มขึ้นในขณะที่ลมมันแผ่วเบาปราณีตก็จะเห็นความรู้สึกปรากฏ ความรู้สึกนี้อาศัยกาย ร้อนเย็นปวดเจ็บคันชา เป็นความรู้สึกที่อาศัยกายเกิดขึ้น ก็รู้แค่รู้เท่านั้น ไม่มีความสงสัยในสภาวะใดๆ ไม่มีความปรารถนาอะไร ไม่มีความอยากจะได้อะไร ไม่มีความอยากจะรู้อะไร รู้จึงจะเป็นอิสระ รู้ง่ายๆซื่อๆตรงๆ ถ้าใครที่มีวิตกวิจารดับไปแล้ว คือว่า มันไม่ต้องรอเพื่อที่จะรู้ ไม่ต้องจ้องที่จะรู้ นั่นนะวิตกวิจารเขาระงับตัวลงเกิดเป็นความปราณีตขึ้นที่ลม ที่รู้มีกําลัง ก็จะเกิดความโปร่งความสบาย ณ ภายใน มีความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนาเกิด รู้นิ่งอยู่กับลมและก็ชำเลืองรู้ไปที่เวทนา ชําเลืองรู้ไปที่ความรู้สึกได้ ให้เขาชําเลืองโดยที่รู้ไม่หลุดออกไปที่เวทนา ปวดรู้ก็ไม่หลุดออกไปที่ปวด แค่ชําเลืองรู้ ปล่อยวางใจให้ได้นะ ยังไงมันก็ไม่หักไม่ขาด ยังไงมันก็ไม่ตาย แต่ถ้ารู้หลุดไปจมอยู่แล้ว เวทนาที่เกิดอยู่มันจะเป็นมากยิ่งขึ้น ทําให้เรานิ่งอยู่ในอิริยาบถอย่างแน่วแน่ไม่ได้ กายก็จะกระสับกระส่าย พอกายกระสับกระส่าย ลมมันก็จะหยาบขึ้น รู้ก็จะแผ่วเบาขึ้น กําหนดก็จะเข้ามามีกําลัง พอร่างกายสงบระงับ ความรู้สึกคือเวทนาก็จะโผล่ รู้ยังอยู่ที่นิมิต เรียกว่า รู้อยู่ภายใน ชําเลืองรู้ไปที่เวทนาด้วย ทําหน้าที่แค่ชําเลืองรู้ เหมือนโคแม่ลูกอ่อนกําลังเล็มหญ้าอยู่ชําเลืองดูลูกน้อย เมื่อมันเกิดการวางใจได้ เบาใจได้ เย็นใจได้ ตัวรู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ก็จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น เวทนาก็จะอ่อนกําลังลง ความรู้สึกก็จะอ่อนกําลังลง เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เกิดขึ้นจากเหตุจากปัจจัย ตั้งอยู่ตามเหตุตามปัจจัย และก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัย รู้จะเข้าถึงกลไกของขันธ์ทั้ง 5 เมื่อสัญญาไม่ได้ออกมาทํางาน ตัวเวทนาก็ดับ เพราะว่ามันไม่ได้ปรุงแต่ง ถ้าสัญญาทํางาน ตัวเวทนาคือความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น สัญญาเข้ามาทํางานด้วยก็จะเกิดการปรุงแต่ง การปรุงแต่งขึ้นมารู้ก็จะหลุดออกมาอยู่กับเวทนา ก็จะเข้าไปสู่การปรุงแต่ง มันเกิดขึ้นง่าย เกิดขึ้นได้ ณ ขณะนั้นตัวรู้ก็จะหยุดทําหน้าที่มีแต่เรา เราก็สงบกายให้ตัวรู้ตั้งขึ้น ถ้ารู้ตั้งขึ้นรู้ก็จะหลุดออกมาจากเวทนาแล้วก็รู้ลมไปอย่างเดิมอย่างเป็นธรรมชาติของมัน เริ่มต้นด้วยองค์ของความรู้ใหม่ รู้ลมออก รู้ลมเข้า รู้ลมออกลมเข้าไปตามธรรมชาติของมัน จนตัววิตกวิจารมันสงบไป รู้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ตัวเวทนาก็โผล่ ตัวความรู้สึกโผล่ มันอาศัยกาย เป็นเย็น เป็นร้อน เป็นปวด เป็นเหน็บ เป็นคัน เป็นชา เกิดขึ้นได้ ตัวรู้ก็ชำเลืองดูอยู่กับลม ลมก็จะปราณีต รู้ดูเวทนา ชําเลืองดูเวทนาในฐานะแค่รู้ จนตัวรู้มีความนิ่งมาเป็นฐานอย่างมีกําลังในระดับหนึ่ง ตัวความรู้สึกหรือตัวเวทนาที่มีอยู่ก็มีกําลังเบากว่า กว่ารู้ที่อยู่กับนิ่ง รู้ก็จะทําหน้าที่แค่รู้อย่างเป็นอิสระและมีกําลังมากขึ้น จนตัวผู้รู้ปล่อยวางเวทนาได้ เพราะมีความนิ่งมาเป็นวิหาระ มีความนิ่งมาเป็นฐานให้กับรู้ มีกําลังเหนือกว่าเวทนา เขาก็แค่รู้เวทนาที่ปรากฏได้ การชําเลืองรู้เวทนาก็เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระมากขึ้น ถ้าเกิดความผุดผ่องภายในก็แค่รู้ มีความคิดเกิดขึ้นก็แค่รู้
Fri, 08 Dec 2023 - 57min - 693 - การภาวนาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่เกิดมา - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 2/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
การภาวนาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตนี้ที่เกิดมา เพราะว่าเราสามารถถามตัวเราเองได้นะว่าเราเกิดมาในชีวิตนี้ ในขันธ์ 5 นี้ รูปนามนี้ ที่เขาตั้งชื่อสมมติว่าอย่างนี้ โตมาจนป่านนี้ มีอะไรตั้งหลายอย่างที่ใช้ความพยายามสร้างมันขึ้นมา ลองถามตัวเองดูที่ว่ามันมีอยู่ มันใช่สิ่งที่มีค่าจริงหรือ ใช่สิ่งที่มีค่าสูงสุดกับการที่ได้เกิดมาในชีวิตนี้จริงหรือ ถ้าเราจับขึ้นมาแต่ละอย่างที่ว่าของเรา เราก็จะพบได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มีค่าสูงสุดจริงๆ แต่มันมีอะไรไม่รู้อย่างหนึ่งที่มันต้องมีค่าที่สุด สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นแหละคือการภาวนา
เราเกิดมาตัวน้อยๆยังไม่มีความรู้อะไร ยังไม่รู้เลยว่าอะไรในชีวิตนี้มีค่า แต่เราได้ผ่านการเรียนรู้ ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมา เราก็เห็นว่าเรื่องกินมีค่า เรื่องนอนมีค่า พอโตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อนมีค่า ข้าวของมีค่า ทรัพย์สินสมบัติมีค่า โตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง แฟนมีค่า รถมีค่า ทรัพย์มีค่า พอแต่งงานเสร็จ สามีมีค่า ภรรยามีค่า แต่งงานเสร็จมีลูก ลูกมีค่า ทํางานขึ้นมา เงินเดือนมีค่า การขึ้นเงินเดือนมีค่า การเป็นหัวหน้ามีค่า การได้รับการชมเชยจากที่ทํางานมีค่า สรุปความพระพุทธเจ้าบอก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีค่า แต่ลาภยศสรรเสริญสุขทั้งหมด ในที่สุดมันก็เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นสลับกันไปสลับกันมา เพราะฉะนั้นถ้าจับมาดูทุกอย่างที่เรามี ในที่สุดมันก็จะตอบกับเราได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งมีค่าที่สุดกับการที่ชีวิตนี้เกิดมา และอะไรคือสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตนี้ อันนั้นแหละคือการภาวนา
สมาธิภาวนาที่มันมีค่าเพราะมันให้ผล 4 ประการ
1. อตฺถิ ภิกฺขเว สมาธิภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาราย สํวตฺตติ ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่บุคคลอบรมแล้วทําให้มากแล้ว จะเป็นไปเพื่อการอยู่อย่างมีความสุขในปัจจุบัน สิ่งที่มีค่าชนิดอื่นในชีวิตที่เราคิดว่าสิ่งนี้มีความสุข เราได้อยู่กับสิ่งนี้แล้วเรามีความสุข แต่ในที่สุดเราก็มีความทุกข์กับสิ่งนั้น สิ่งที่เราคิดว่ามันมีความสุขเดี๋ยวมันก็ทุกข์ อะไรที่มันสุขบ้างทุกข์บ้างเกิดขึ้นสลับไปสลับมากับการที่เราอาศัยสิ่งนั้น แสดงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง บริบทของความสุขชนิดนี้แตกต่างจากความสุขชนิดที่เราปรารถนาต่างจากความสุขที่เราเคยพบเคยเจอ ความสุขอื่นมันจะอาศัยสิ่งข้างนอกเข้ามาเป็นเครื่องประกอบจึงจะสุขได้ แต่สุขที่เกิดจากสมาธิภาวนา เป็นสุขที่อยู่ในบริบทของความสงบ
สันโต(สงบ) ปนีโต(ปราณีต) วิทูโม(สำรอกควันออกไป) อนีโก นิราโส(หมดหวัง คือดับความหวังของสภาพธรรมนั้นๆเอง) สนฺโตก็ดี ปณีโต ก็ดี วิธูโมก็ดี อนิโฆก็ดี นิราโสก็ดี มันจบด้วยตัวรู้ที่เป็นอิสระที่อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะจิตนี้ที่มีตัวรู้ที่เป็นอิสระ ตัวรู้ที่เป็นอิสระนี้เป็นสภาวะที่ปรากฏไม่ใช่เรา แล้วเราก็ไปยึดถือมันไม่ได้ด้วย ถ้าตราบใดที่เราไปยึดถือตัวผู้รู้หรือไปยึดถือสิ่งที่ถูกรู้ ทั้งตัวรู้และสิ่งที่ถูกรู้ยึดถือไม่ได้ ถ้ายึดถือเกิดขึ้นเมื่อใด ทั้งตัวรู้และตัวผู้รู้มันจะสรุปลงในขันธ์ ตัวยึดถือก็จะเป็นตัวที่ยึดถือในขันธ์ พอตัวยึดถือในขันธ์ มันเป็นเราไปทันที จะไม่เป็นอิสระ
อาการที่รู้เขาชําเลืองไปสู่สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า อปจินติ และรู้จะชําเลืองได้จะต้องไม่ถูกห้อมล้อมด้วยอาคันตุกะ คือ อุปกิเลสทั้งหลาย ถ้าเรามัวไปคิดถึงเรื่องลมออก เรื่องลมเข้า เรื่องลมหยุด มันจะชําเลืองไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องถอย รู้จึงอยู่กับนิ่ง พอรู้มีนิ่งเป็นวิหาระ ตัวนิ่งนี้เป็นตัวที่จะปล่อยให้ตัวรู้เป็นอิสระและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ถ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วมีนิ่งเป็นวิหาระของรู้ได้ ในชีวิตจริงทั้งหมด คือการภาวนาหมดเลย 2.อตฺถิ ภิกฺขเว สมาธิภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา ญาณทสฺสนปฏิลาภาย สํวตฺตติ สมาธิภาวนาที่บุคคลอบรมแล้วทําให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ซึ่งญาณทัศนะ รู้เห็นสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 3.อตฺถิ ภิกฺขเว สมาธิภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา สติสมฺปชญฺญาย สํวตฺตติ เป็นไปเพื่อการได้ซึ่งสติสัมปชัญญะที่ทํางานแบบอัตโนมัติ พอตัวความตั้งมั่นมีกําลังมากขึ้น นิ่งรู้มีกําลังเพิ่มขึ้นๆ พอมันรู้เห็นตามความเป็นจริง ตัวที่มันเข้าไปรู้เห็นนี้ คือ ตัวสติสัมปชัญญะ พอตัวสติสัมปชัญญะเข้าไปทํางาน นั่นหมายความว่า ตัวนิ่งรู้มีกําลังอยู่ข้างใน
4.อตฺถิ ภิกฺขเวสมาธิภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา อาสวานํ ขยาย สํวตฺตติ สมาธิภาวนาที่อบรมแล้วทําให้มากแล้วเป็นไปเพื่อการสิ้นไปของอาสวะ อาสวักขยญาณจะเกิดขึ้น เมื่อนิ่งรู้มีกําลังมาก นอกจากมันเป็นกามวิเวกและอกุศลวิเวก มันเห็นถึงความเกิดแห่งอาสวะ เห็นถึงความตั้งอยู่แห่งอาสวะ เห็นถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
Fri, 08 Dec 2023 - 56min - 692 - ปฐมนิเทศ ชำเลืองรู้ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (8-12 ธ.ค. 66 1/21)
คอร์สอานาปานสติ วันที่ 8-12 ธ.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร จิตเดิมเราของแต่ละคนมันผุดผ่องเหมือนกัน ผ่องใสเหมือนกัน พระพุทธเจ้าว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ภิกษุทั้งหลายจิตนี้เดิมนั้นผ่องใสนัก
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ แต่จิตนี้ถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามาทําให้มัวหมอง
อุปกิเลส คือ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากการยึดถือปรุงแต่งด้วยอํานาจของอวิชชาที่จรเข้ามาอยู่ที่จิต ทําให้จิตที่ผุดผ่องแต่เดิมนั้น เกิดความมัวหมองเศร้าหมองเป็นมลทินขึ้นมา
จิตเดิม คือ จิตที่ยังไม่ได้เสวยอารมณ์อะไร จิตที่อยู่ที่กายเฉยๆ ยังไม่ได้รู้ทางตา ยังไม่ได้ไปปรุงแต่งทางตา ยังไม่ได้ปรุงแต่งทางหู ไม่ได้ปรุงแต่งทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตัวเดิมนั้นเขาเรียกว่าประภัสสร แปลว่า ผุดผ่อง ผ่องใส ทุกคนเหมือนกันหมด ปฏิสนธิจิตที่เข้ามาสู่ครรภ์มารดา จิตที่ผ่องใสนั้นอยู่กับอวิชชา พอคลอดออกมาจากท้องมารดาอายตนะแข็งแรง จิตที่ผ่องใสแต่มีอวิชชาอยู่ก็เข้าไปช่องทางของอายตนะ ไปเรียนรู้โลก เชื่อมต่อกับโลก และก็ปรุงแต่งไปตามอํานาจของอวิชชาเกิดเป็นอุปกิเลสจรเข้ามาสู่จิต ทําให้จิตนั้นถูกย้อมด้วยความรักบ้าง ความชังบ้าง ความถูกบ้าง ความผิดบ้าง สูงบ้าง ต่ำบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง บุญบ้าง บาปบ้างที่เข้ามาสู่จิต ทําให้ความผุดผ่องนั้นถูกบดบังด้วยอุปกิเลส
การปฏิบัติธรรมมี 2 ชั้น 1. คลี่คลายอุปกิเลสที่จรมาเพื่อเข้าสู่ความดั้งเดิมของจิตให้ได้ก่อน 2. บ่มความตั้งมั่น สติ สัมปชัญญะ ญานทัศนะ
ทั้งหมดนี้พระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าไปสู่ธรรมชาติแท้ๆที่เป็นกายเป็นใจก่อน ถ้าเราเข้าไปสู่ธรรมชาติแท้ๆที่เป็นกายเป็นใจได้ สภาวะที่มันทรงตัวเข้าไปรับรู้อยู่ตรงนั้น นั่นเป็นตัวเดิมของจิต เพราะว่ามันไม่มีการปรุงแต่งอะไร ท่านก็เลยใช้ลมหายใจนี้เป็นทางผ่านสําหรับที่จะไปเรียนรู้ความเป็นดั้งเดิมของจิต เพราะฉะนั้นความเป็นดั้งเดิมตรงนี้มันเข้าไปตั้งแต่ ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา แล้ว ถ้าเข้าไปสู่ตรงนั้นได้ ผู้รู้อยู่ที่นิมิตได้ อยู่อย่างอิสระได้ อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นธรรมชาติได้ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซง ทั้งที่ผู้รู้ ทั้งที่สิ่งถูกรู้ ต่างก็เป็นธรรมชาติทั้ง 2 ฝ่าย ไม่แทรกแซงตรงนั้นได้ ตรงนั้นน่ะเป็นตัวเดิม ถ้าเข้าถึงตรงนั้นได้ ตรงนั้นเรียกว่านับหนึ่งถ้าเราฟังให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จิตตภาวนาของเราจะเริ่มต้นขึ้นได้
การภาวนาถ้าเราเอาเราเข้าไปเป็นผู้ภาวนา ทุกอย่างมันเป็นทวิภาวะ ทวิภาวะก็คือสภาวธรรมคู่ เช่นว่า ถูกก็มีผิด ดีก็มีชั่ว ขาวก็มีดำ สูงก็มีต่ำ ถ้าตราบใดที่ยังหยุดอยู่กับสภาวธรรมคู่ที่เป็นทวิภาวะมันเป็นจิตตภาวนาไม่ได้ ถ้าเป็นจิตตภาวนาจะต้องเริ่มต้นในสภาพของธรรมชาติที่เป็นอิสระด้วยวิธีที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นเอง
ในคอร์สนี้ให้พึงตระหนักรู้ให้แน่วแน่ว่า เราจะอยู่กับสภาวะรู้และสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ โดยทําเพียงแค่การสงบกาย สภาวะรู้ปรากฏ แล้วก็ให้รู้นั้นทําหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ตั้งต้นตั้งแต่ลม ตั้งแต่กาย ไม่ไปปัก ไปบังคับ นอกจากกายแล้วแม้แต่ความคิดก็จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วย เมื่อเคลื่อนไหวก็รู้ อิริยาบถรู้ กายรู้ ลมรู้ความรู้สึกนึกคิดก็รู้ด้วย ไม่ว่าอะไรจะโผล่เข้ามา รู้ที่เป็นอิสระจะทําหน้าที่แค่รู้ไปตลอด แค่รู้ไปเรื่อยๆ อยู่ในทุกๆอิริยาบถ รู้อยู่ข้างใน กายใจที่ปรากฏ รู้นั้นจะชำเลืองเหมือนโคแม่ลูกอ่อนที่กําลังเล็มหญ้าอยู่แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชําเลืองดูลูกน้อย พระพุทธเจ้าว่า
เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว คาวี ตรุณวจฺฉา ถพฺภญฺจ อาลุปฺปติ วจฺฉกญฺจ อปจินติ
ตัวรู้อยู่ที่นิมิตจะชำเลืองรู้ในขณะที่มีสภาวะปรากฏ คือ ความสั่นสะเทือนของกายของใจนั่นเอง แล้วมันกล้าพอแม้แต่ความคิด มันดูจนทันแม้แต่ความคิด ความคิดไม่ใช่เรื่องเลวทราม ความคิดไม่ใช่เรื่องดีหรือไม่ดี แต่ความคิดเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิต เป็นสภาวธรรม มันปรากฏขึ้นตัวรู้ทําหน้าที่แค่รู้ รู้ในความคิด รู้ความคิด รู้ว่าความคิดเกิด รู้ว่าความคิดตั้งอยู่ รู้ว่าความคิดดับไป แต่ถ้ามีการเข้าไปในความคิด ปรุงจนเกิดเป็นเวทนา คือ รู้สึกดี รู้สึกไม่ดี อันนั้นเป็นเราทันที แต่ในขณะที่รู้เขาทํางานอย่างอิสระตรงต่อความคิดที่ปรากฏ ความคิดที่ปรากฏ คือ ความคิดเกิดขึ้น ความคิดที่ตั้งอยู่ และเมื่อดับไป ความคิดก็ดับไป อันนั้นทําหน้าที่นั้นน่ะเป็นรู้ แต่ถ้าเข้าไปปรุงแต่งในความคิด ไปให้ค่าในความคิดอยู่ในอํานาจของความคิด จนจิตเสพเป็นอารมณ์เกิดความรู้สึกดีไม่ดีต่อความคิดนั้นๆขึ้นมานั้นเป็นเรา ถ้าเป็นเราขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นมันก็ทําลายจิตตภาวนา แต่ถ้าเป็นรู้อย่างอิสระมันก็จะเป็นการต่อยอดของการภาวนา
Fri, 08 Dec 2023 - 1h 11min - 691 - พัฒนาความตั้งมั่น วัดทองเนียม 2 ธ.ค. 66
หลวงพ่อเจ้าคุณพระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม ) วัดบุปผารามวรวิหาร กทม. แสดงธรรมในงานตัดหวายลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา ณ วัดทองเนียม หนองแขม กรุงเทพฯ : Wat Thongniam เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร คืนวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566
Sun, 03 Dec 2023 - 1h 23min - 690 - ธรรมทั้งหลายประชุมลงในความไม่ประมาท วัดบุปผารามวรวิหาร 20 พ.ย. 66Wed, 22 Nov 2023 - 21min
- 689 - นำปฏิบัติและนำแผ่เมตตา - อานาปานสติ ครั้งที่ 92 (5 พ.ย. 66 4/4)Sun, 05 Nov 2023 - 49min
- 688 - ผู้รู้ที่เป็นอิสระ - อานาปานสติ ครั้งที่ 92 (5 พ.ย. 66 3/4)Sun, 05 Nov 2023 - 1h 23min
Podcasts similaires à ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติ
- นิทานชาดก 072
- พี่อ้อยพี่ฉอด พอดแคสต์ CHANGE2561
- หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม dhamma.com
- People You May Know FAROSE podcast
- รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด Hoy Apisak
- เล่าเรื่องรอบโลก by กรุณา บัวคำศรี karunabuakamsri
- ลงทุนแมน longtunman
- 5 Minutes Good Time Mission To The Moon Media
- Mission To The Moon Mission To The Moon Media
- ไหนๆ ก็เล่าแล้ว Nai Nai Kor Lao Laew
- พระเจอผี Podcast Prajerpee
- เคาะข่าวค่ำ radio tonews
- SONDHI TALK sondhitalk
- คุยให้คิด Thai PBS Podcast
- พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) Thammapedia.com
- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย Thammapedia.com
- The Secret Sauce THE STANDARD
- THE STANDARD PODCAST THE STANDARD
- คำนี้ดี THE STANDARD
- ข่าวสดสายตรงจากวีโอเอ ภาคภาษาไทย 6:30 – 7:00 น. - วอย VOA
- Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) watpasukato
- 5 นิทานพรรณนา ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana
- พุทธวจน พุทธวจน
- หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ