Nach Genre filtern
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)
- 892 - 25661227pm-หนาวแต่กาย ใจไม่ทุกข์Mon, 25 Mar 2024 - 28min
- 891 - 25661226pm-เตรียมใจรับมือกับความพลิกผันMon, 25 Mar 2024 - 25min
- 890 - 25661224am--ทำบุญให้ถึงธรรมSat, 23 Mar 2024 - 26min
- 889 - 25661221pm--เติมสุขให้ใจFri, 22 Mar 2024 - 33min
- 888 - 25661220pm--รู้ใจก็ไกลทุกข์Thu, 21 Mar 2024 - 28min
- 887 - 25661219pm--ผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบสุขWed, 20 Mar 2024 - 28min
- 886 - 25661218pm--หมั่นทิ้งขยะอารมณ์Tue, 19 Mar 2024 - 28min
- 885 - 25661217pm--อย่าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเราMon, 18 Mar 2024 - 25min
- 884 - 25661216pm--ปลอดภัยได้เพราะเห็นSun, 17 Mar 2024 - 27min
- 883 - 25661215pm--เตรียมใจก่อนกลายเป็นคนอื่นSat, 16 Mar 2024 - 29min
- 882 - 25661214pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา
14 ธ.ค. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม
Mon, 05 Feb 2024 - 26min - 881 - 25661205pm--แง่คิดจากคนใกล้ตาย
5 ธ.ค. 66 - แง่คิดจากคนใกล้ตาย : ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ถึงแม้เราจะต้องตายจากโลกนี้ไป มันไม่มีอะไรต้องเสียดาย ที่จริงการใช้ชีวิตของเราแต่ละวันๆ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการใช้แต่ละวันเพื่อการเตรียมตัวรับมือกับความตายที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าความตายมาถึงมันทุกข์ทรมานมาก หรืออย่างน้อยๆ ก็ใช้เวลาแต่ละวันเตรียมรับมือกับความเจ็บความป่วยที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพาะก่อนที่เราจะตายเราจะต้องเจ็บป่วย ส่วนใหญ่นะ ไม่ใช่ตายฉับพลัน และหลายคนแม้ยังไม่ตายแต่ทุกข์ทรมานมากเพราะความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นทุกขเวทนาทางกายหรือทางใจ เพราะอะไรเพราะว่าช่วงเวลาที่ปกติสุข ไม่ได้สนใจเตรียมตัวเลย ทั้งๆ ที่มันมีโอกสจะเกิดขึ้นกับเรา 90 % เลย และถ้าจะให้ดีก็เตรียมตัวรับมือกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต เรียนรู้จากความสูญเสียพลัดพราก เงินหาย ของหาย ก็ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดในการฝึกใจให้เผชิญกับสิ่งที่ไม่ถุกใจ หรือความผันผวนของชีวิตได้ เจอคำต่อว่าด่าทอก็ถือว่าเป็นเครื่องฝึกใจให้มีความมั่นคงหนักแน่น ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วยก็จะไม่โวยวายตีโพยตีพาย ถึงเวลาตายก็สามารถจะเผชิญความตายได้อย่างสงบ นี่คือบทเรียนที่เราสามารถครุ่นคิดหรือใคร่ครวญได้จากการระลึกถึงความตาย หรือถ้าให้ดีก็เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของคนใกล้ตายอย่างหมอกิตไท ข้อเขียนของหมอกิตไทตลอดปีที่ผ่านมาก็สามารถเตือนใจเราได้ดีนะ เพราะเป็นการเอาประสบการณ์ของคนจริงๆ คนที่เจ็บป่วยจริงๆ คนที่ใกล้ตายจริงๆ มาบอกเล่า อ่านแล้วก็รู้สึกใกล้ตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องคิดเอาเอง อันนี้ก็เป็นแง่คิดของคนที่เมื่อรู้ว่าจะตาย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้การตายของตนไร้ค่า แต่เอามาใช้เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่ยังอยู่
Sun, 04 Feb 2024 - 26min - 880 - 25661204pm--สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง
4 ธ.ค. 66 - สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง : ปัญหาคือว่าเวลาเราปฏิบัติธรรมแล้ว เรามักจะตั้งความหวังไว้สูง เช่นเดียวกับการทำความดี การทำบุญทำดี ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมนั้นดี แต่ว่ามันง่ายที่จะทำให้คนที่ทำดี ทำบุญหรือว่าปฏิบัติธรรมเผลอตั้งความหวังเอาไว้ หลวงพ่อครูบาอาจารย์พูดว่า ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมแล้ว มันจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอปฏิบัติธรรมเข้า พอทำดีทำบุญ ก็เลยตั้งความหวังเอาไว้ และเป็นความหวังที่สูงด้วยโดยเฉพาะถ้าเกิดว่ายังทำความเพียรมาไม่มากพอ แต่ตั้งความหวังไว้สูง มันย่อมต้องผิดหวังได้ง่าย มันไม่ใช่เฉพาะคนที่หมกมุ่นกับเรื่องทางโลกที่ตั้งความหวังไว้สูงว่าอยากรวย หรือรวยกว่าคนอื่น หรือว่าอยากจะให้สังคมและคนรอบข้างชื่นชมสรรเสริญเรา แม้กระทั่งคนที่ใฝ่ธรรม ขยันทำความดี ขยันทำบุญ หรือว่าหมั่นปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสง่ายมากที่จะตกหลุมแห่งความทุกข์เพราะความคาดหวัง ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำบุญ ทำดีหรือปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ตาม ให้ตระหนัก ระวัง อย่าไปคาดหวังสูง โดยเฉพาะความคาดหวังที่มันสูงเกินจริง ถ้าให้ดีก็ให้รู้จักวางมันลง แล้วก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย อะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับ เพราะถ้าหากว่าเราตั้งความหวังไว้สูง แล้วยอมรับไม่ได้ แม้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังทุกข์เพราะว่ามันไม่มากเท่าที่หวัง หรือมันไม่ตรงกับที่หวังเอาไว้ ปฏิบัติธรรมทั้งที ก็ต้องสามารถที่จะเห็นได้ว่าสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร เราคาดหวังมันอย่างไร เรารู้สึกกับมันอย่างไร ตรงนี้ต่างหากที่เป็นตัวสมุทัยที่สำคัญ ปฏิบัติธรรมแล้วมองไม่เห็นตรงนี้ มันก็ง่ายที่จะยังทุกข์ต่อไปแม้ว่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเราก็ตาม
Sat, 03 Feb 2024 - 26min - 879 - 25661203pm--ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย
3 ธ.ค. 66 - ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย : วิชาปล่อยวิชาวางสิ่งต่างๆ แต่ที่เราปล่อยวางไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ มันน่ากลัว เพราะถ้าเรายึดอะไรว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรากลายเป็นของมันทันทีเลย เรายอมตายเพื่อมันได้ทั้งที่ภัยมาถึงตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมปล่อย ปล่อยอุปกรณ์ ปล่อยของหนักที่ถือในมือ หรือสะพายหลัง เพราะว่าไปยึดว่าเป็นของเราๆ หรือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา หรือข้าราชการหลายคนไปยึดว่าบ้านเป็นของเรา รถเป็นของเรา หรือเป็นตัวเราเลยทีเดียว เป็นหน้าเป็นตา แต่พอต้องสูญเสียมันไป มันก็ไปกระทบกับตัวตน อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน เพราะว่าหน้าตาของเรา ศักดิ์ศรีของเราไปผูกติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการยึด เป็นเพราะยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ในแง่หนึ่งก็ให้ความสุข ถ้ามันยังอยู่กับเรา แต่ถ้าเมื่อใดวันดีคืนดีมันไปจากเรา มันทุกข์มากเลย มันไปจากชีวิตแล้ว แต่เรายังไม่ยอมปล่อยมันไปจากใจ ยังคิดถึงมัน ยังพะวงถึงมัน ยังอาลัยถึงมันอยู่ เหมือนกับว่าตัวตนบางส่วนของเราหายไป อันนี้เรียกว่าทำใจไม่ได้ แล้วที่ทำใจไม่ได้เพราะยังปล่อยวางมันไม่ได้ แล้วที่ปล่อยวางไม่ได้ เพราะไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะข้าวของเงินทองมากมายที่คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เช่น ตำแหน่งหน้าที่ หรือแม้กระทั่งคนรัก คนเราไม่ค่อยเห็นโทษของการไปยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา บางทีไปยึดโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเกิดเฉลียวใจว่า โอ เราไปยึดเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เกิดการเห็นโทษขึ้นว่า การยึดเช่นนี้มันเป็นโทษ เราก็จะเห็นความสำคัญการรู้จักปล่อยรู้จักวางมันออกไปจากใจ แต่ถ้าเราปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ ถึงเวลาที่มันแปรเปลี่ยน หรือแปรปรวน สูญเสีย พลัดพรากไปจากเรานี้ มันอาจทำให้จิตสลายได้ และบางครั้งก่อนที่จิตจะสลาย ร่างกายก็มีอันเป็นไปเสียก่อน เพราะการที่ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เหมือนกับโจรมาปล้น มาจี้เอาเงิน เอาทรัพย์ เอาสร้อยแล้วเจ้าของไม่ยอม เพราะไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของฉันๆๆ หารู้ไม่ว่าตัวเองกลายเป็นของมันไปแล้ว จนยอมตายเพื่อมันได้ หลายคนก็ยอมตาย ยอมตายเพื่อที่จะรักษาสิ่งอันนั้นเอาไว้ ไม่ให้โจรเอาไป อันนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความคิดที่ว่า มันเป็นเราเป็นของเรา เพราะไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง แล้วที่ไม่ปล่อย ไม่วาง หรือวางไม่ลง ความคิดว่าเป็นเราเป็นของเรามันจึงน่ากลัว เพราะเรากลายเป็นของมันทันที แล้วเราอาจจะตายเพื่อมันหรือตายเพราะมันก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
Fri, 02 Feb 2024 - 27min - 878 - 25661202pm--วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก
2 ธ.ค. 66 - วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก : เห็นกับเป็นมันตรงข้ามกัน เมื่อเห็นมันก็ไม่เข้าไปเป็น ก็คือไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา หรือพูดอีกอย่างก็คือ การเห็นทำให้ไม่เปิดช่องให้มันมาทำร้ายใจได้ ในป่าเราเลี่ยงไม่ได้ต้องมีงู บนทางก็อาจมีหลุม เราเลี่ยงไม่ได้ เราปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เราเลี่ยงไม่ให้งูกัด ไม่เตะหนาม ใจของเราก็เหมือนกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ มีความคิด มีอารมณ์ มีความโกรธ มีความหดหู่ อันนี้ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปแบก ไม่ปล่อยให้มันมาทำร้ายใจ พูดอีกอย่างหนึ่งคือไม่ไปฉวย ไม่ไปยึด หรือไม่ไปแบกมันเอาไว้ เพราะฉะนั้นเรื่องการวาง หรือการปลง จริงๆ แล้วเราทำอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือชอบไปยึด ไปจับ ไปฉวย ไปแบกมากกว่า แต่ถ้ามีสติเห็น มีสติเห็นความคิดและอารมณ์ต่างๆ เห็นความทุกข์ การแบก การยึด การจับ การฉวยมันก็ไม่เกิดขึ้น วางแล้วก็วางเลย หรือถึงจะแบกแต่พอมีสติรู้ทันก็วางลง วางแล้วก็ไม่กลับมาแบกใหม่ อันนี้มันทำได้ ควรฝึกอยู่เสมอ ให้มีสติเห็น ให้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ และต่อไปการเห็นด้วยสติก็จะพัฒนาเป็นเห็นด้วยปัญญา ซึ่งทำให้ใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง
Thu, 01 Feb 2024 - 28min - 877 - 25661201pm--จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว
1 ธ.ค. 66 - จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว : อย่างที่เราสวดกันมีตอนหนึ่งในบทภัทเทกรัตตคาถา ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าจะหมายถึงธรรม คือ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอกก็ได้ หรือหมายถึงความคิดและอารมณ์ภายในก็ได้ เห็นแล้วไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน คือไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ใจไม่กระเพื่อมเป็นการรู้ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา ใจที่มั่นคง ท่านสอนว่าให้ทําเช่นนั้นอยู่เนืองๆ ผู้ใดที่เห็นธรรมเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราฝึกจิตให้มีสติมีความรู้สึกตัว ไม่มัวแต่พยายามฝึกจิตให้นิ่ง หรือว่าบังคับจิตให้สงบ แต่ว่ายังมีความรู้สึกตัวได้ไว รู้ทันความคิดและอารมณ์ได้เร็ว แล้วก็สามารถที่จะเห็นหรือรู้ด้วยอาการที่สงบมั่นคง ไม่คลอนแคลน อันนี้ยิ่งเท่ากับทําให้ใจมีเครื่องรักษา มีเครื่องอารักขา ทําให้ปลอดภัยไม่ว่ามารจะมาล่อเร้าเย้ายวน หรือยั่วยุยังไง ก็ไม่ทําให้ใจเป็นทุกข์ได้ เมื่อใจปกติแล้ว การที่จะรักษาตน ครองตนให้อยู่ในความดี มีศีล มีธรรม หรือไม่ก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ก็ยิ่งเป็นไปได้ ฉะนั้นการพยายามรักษาใจให้อยู่ในถิ่นที่ปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสําคัญมาก ที่จะช่วยให้ใจเราเป็นปกติสุขได้อย่างแท้จริง
Wed, 31 Jan 2024 - 26min - 876 - 25661130pm--ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม
30 พ.ย. 66 - ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม : ถึงแม้ว่าชาวพุทธเราจะมีจุดมุ่งหมายที่ดูสูงส่ง ดูประเสริฐ แต่ว่าถ้าเราเรียนรู้จากคนเหล่านี้ นักกีฬาเหล่านี้ รวมทั้งนักว่ายน้ำมาราธอนที่กล่าวถึงตอนต้น ว่าเขาอุตส่าห์ทุ่มเทอย่างไร ถ้าเราเอาความทุ่มเทอย่างเขามาสักครึ่งหนึ่ง มาใช้กับการทำความเพียรเพื่อเข้าถึงธรรม เราจะก้าวหน้าไปเยอะ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้เขาก็เป็นแบบอย่างให้กับเราได้ ที่จริงถึงแม้ว่าสิ่งที่เขามุ่งหวังคือชื่อเสียงเกียรติยศ หรือว่าเหรียญทอง มันอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้มีความทุกข์น้อยลง ไม่ได้ช่วยดับทุกข์ แล้วก็อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้โลกดีขึ้น แต่จะว่าไปมันก็เป็นแรงจูงใจหรือเป็นแรงบันดาลใจให้กับคน ว่าคนเราสามารถที่จะทำอะไรที่ทำได้ยากได้ อันนี้ก็เป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนมีความเพียร แล้วถ้าเอาความเพียรนั้นมาใช้กับการทำสิ่งที่มีประโยชน์ มีสาระ มีคุณค่า ก็จะเกิดประโยชน์มาก แต่การที่เราเอาอัตตาเป็นที่ตั้ง หรือว่าเป็นแรงจูงใจ ก็มีความเสี่ยง เพราะว่าพวกที่ก่อสงคราม ขยายดินแดน ขยายอาณาเขต ที่สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กับผู้คน พวกนี้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะมีแรงจูงใจอย่างอื่นประกอบด้วย แต่ว่าการเอาอัตตาเป็นแรงจูงใจ ข้อดีมันก็มี มันทำให้คนสามารถทำสิ่งที่ทำได้ยากได้ แต่ถ้าหากว่าใช้ในทางที่ผิด มันก็ก่อความวุ่นวาย ก่อความเดือดร้อน ก่อหายนะให้กับมนุษย์ได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดประวัติศาสตร์ มันจะดีกว่า ถ้าหากว่าเรามีจุดหมายในทางธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แล้วก็เพื่อความพ้นทุกข์ อันนี้เรียกว่าเพื่อประโยชน์ท่าน แล้วก็ประโยชน์ตนไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงแม้จะมุ่งหวังในสิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าขาดความเพียร มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาความเพียรของคนเหล่านั้นมาใช้เป็นแรงจูงใจให้กับเรา มันก็จะช่วยทำให้ธรรมที่เรามุ่งหวัง สามารถจะเกิดผลเป็นจริงได้ นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้จากคนเหล่านี้ได้
Tue, 30 Jan 2024 - 28min - 875 - 25661129pm--จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป
29 พ.ย. 66 - จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป : บางเรื่องบางอย่างมันตัดสินยาก อย่างเช่น คนที่ป่วยระยะสุดท้าย หลายคนก็คิดว่าถ้าสู้ไปเรื่อยๆ มันจะมีโอกาสรอด แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพอสู้ไปๆ แม้จะเป็นการยื้อชีวิตให้อยู่ได้ยืนยาวขึ้น แต่ว่ามันกลับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ในกรณีแบบนี้แทนที่จะสู้ แต่ว่าปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบตามกระบวนการธรรมชาติ ยังจะดีกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือว่าญาติของผู้ป่วย คนป่วยเขาหมดสภาพไปแล้ว แต่ญาติหรือหมอจำนวนไม่น้อยก็คิดว่าต้องสู้ แต่ว่าการสู้ บ่อยครั้งก็ทำให้คนป่วยทรมานหนักขึ้น การไม่สู้แต่ช่วยทำให้เขาจากไปอย่างสงบ อาจจะดีเสียกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยาก ฉะนั้นถ้าหากว่าคนเรามีความสามารถในการแยกแยะได้ว่า กรณีใดที่ถ้าสู้แล้วจะรอด หรือจะประสบความสำเร็จ หรือกรณีใดสู้ไปก็มีแต่จะสร้างความทุกข์ สร้างความเสียหาย วิธีที่ดีที่สุดคือว่ายอม ไม่ทำอะไรเลย หรือทำให้น้อยที่สุด อาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้ เผลอๆ อาจจะรอดก็ได้ อย่างกรณีแรกที่ลอยคออยู่กลางทะเล อันนี้เป็นโจทย์ที่มันหาข้อสรุปได้ยาก คนเราก็คงจะต้องเจอกับโจทย์แบบนี้อยู่เรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็สักครั้งสองครั้งในชีวิต ว่าจะหยุดหรือว่าจะสู้ต่อไป บางครั้งการหยุดอาจจะดีกว่า แต่บางครั้งการสู้ต่อไปก็อาจจะทำให้ประสบความสำเร็จก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ เพราะบางทีการสู้อาจทำให้ทำความทุกข์ทรมาน อันนี้เป็นเรื่องที่คงต้องใช้ประสบการณ์ และปัญญาในการแยกแยะ
Mon, 29 Jan 2024 - 29min - 874 - 25661128pm--รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้
28 พ.ย. 66 - รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้ : แต่ถ้าเราเริ่มยอมรับ ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง อย่างน้อยก็จะเจอธนูแค่สองดอก หรือยิ่งถ้าฝึกให้สามารถยอมรับความเจ็บปวดได้ ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง แต่ถ้ายอมรับความเจ็บปวดไม่ได้ มีความทุกข์ใจเกิดขึนก็ยอมรับความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นนักปฏิบัติธรรมก็มีโอกาสที่จะเกิดความรูุ้สึกแบบนี้ได้ ถ้ายอมรับ ความทุกข์ก็จะน้อยลง เพราะฉะนั้น การที่เรารู้จักหยุด หรือรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่มันเกิดขึ้นกับใจของตัวเองหรือกับชีวิตของตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันเป็นคนเพอร์เฟกต์ ฉันเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มาเป็นตัวที่ทำให้เราไม่ยอมรับความผิดพลาด หรือสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้ สิ่งแย่ๆ ถ้าเรายอมรับได้ มันก็ช่่วยลดความทุกข์ลงได้เยอะ และบางครั้งเราอาจจะต้องรู้จักหยุด รู้จักถอย เพื่อที่เราจะได้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เดินหน้าแล้วดันทุกรังไป สุดท้ายก็ตกเหวตกหน้าผา ซึ่งเป็นชะตากรรมที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยโดยเฉพาะกับคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ คนที่เป็นที่ยกย่อง เป็นไอดอลหรือไอคอนของผู้คน อันนี้เป็นกับดักที่ต้องระวัง
Sun, 28 Jan 2024 - 28min - 873 - 25661125pm--อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์
25 พ.ย. 66 - อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์ : คนเราไปเสียเวลาเสียอารมณ์ไปกับเรื่องพวกนี้มาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นในความถูกต้องจากคนอื่น ว่าเขาทำไม่ถูกต้อง เพื่อนบ้านส่งเสียงดัง เอาขยะมาวางไว้หน้าบ้าน หมาก็เห่า ลูกน้องหรือเจ้านายไม่เป็นธรรม ไปเสียเวลาแม้กระทั่งกับลูก กับภรรยาหรือสามี “พูดไม่เพราะกับฉัน” “ไม่เคยขอบคุณสักคำ” ถ้าเรามัวไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และที่สำคัญคือ เรามีเวลาเหลือในโลกนี้น้อย อย่างที่คุณยายบอก “ผู้หญิงคนนี้กับฉัน กับคุณก็ตาม เราอยู่บนรถโดยสารคันนี้เพียงแค่ชั่วคราว ไม่นานเราก็ต้องลงแล้ว” รถโดยสารในที่นี้หมายถึงอะไร หมายถึงโลกใบนี้ เรามีเวลาอยู่ในโลกใบนี้เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นาน แล้วเวลาเราก็เหลือน้อยลงไปทุกที จะมัวเอาเวลาไปทะเลาะเบาะแว้งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม คนเรามักแยกไม่ออกว่า อะไรเป็นเรื่องเล็ก อะไรเป็นเรื่องใหญ่ บางคนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะคนที่ถือตัวถือตน ถือเรื่องหน้าตา ถือเรื่องศักดิ์ศรี อย่างเรื่องผู้หญิงออฟฟิศเกิร์ลคนนั้นทำแบบนั้น มันต้องเอาเป็นเรื่อง ทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง รู้ไหมฉันเป็นใคร แต่ในเมื่อเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้น้อย แล้วก็ลดลงไปเรื่อยๆ เราก็อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ให้ความสำคัญกับเรื่องที่สำคัญดีกว่า รวมทั้งอย่าไปให้เวลากับความเศร้า ความโศก ความโกรธ ความแค้นมากนัก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ปล่อยมันไปบ้าง เพื่อจะได้มีเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญ เช่น คนที่เรารัก ลูก สามี ภรรยา พ่อ แม่ แล้วก็ตัวเรา ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ เราจะมีเวลาสำหรับการฝึกฝนเพื่อที่จะพาชีวิตนี้เข้าสู่ชีวิตที่พึงปรารถนา สามารถฟันฝ่าคลื่นลมไปได้อย่างปลอดภัย
Sat, 27 Jan 2024 - 22min - 872 - 25661125am--เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก
25 พ.ย. 66 - เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก : คำว่า ขจัดเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป จริงๆ มันแสดงว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่คนอื่นก็ยากแล้ว เพราะเราไปทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าเราพบว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เราแก้ที่ใจเรา ทุกข์ก็หมดไป จะทําอย่างนี้ได้ ก็ต้องใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐิ การที่แซมเขาคิดแบบนี้ว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้ นี่ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเราอาจจะมองว่าเป็นการคิดแบบโยนิโสมนสิการก็ได้ หรือบางทีเราก็ใช้คำว่าคิดบวกก็ได้ เพราะฉะนั้นคําว่า “มรรค” ถ้าเราจับประเด็นได้มันจะไม่ยาก ไม่ยากในแง่ของความเข้าใจ ไม่ยากในแง่ของการเห็นคุณค่า จะทําอย่างไรก็ได้ให้ได้ 4 ประการนี้ คือ 1) อย่าเอาทุกข์มาทับถมตน หรือว่าอย่าซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเจอทุกข์หนึ่ง อย่าเพิ่มทุกข์ให้เป็นสองเป็นสาม 2) อย่าปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม 3) อย่าสยบมัวเมาในความสุขที่ชอบธรรมนั้น และ 4) ขจัดสาเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ ก็เพื่อ 4 ประการนี้แหละ ถ้าเราใช้เป็น แต่ถ้าคุณไม่ใช้ ไม่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ที่มี 4 ประการนี้ ถึงคุณจะเห็นดีอย่างไร คุณก็ทําไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเมคเซนส์มาก แล้วมันก็ไม่ยากอะไรเลย ไม่ได้เรียกร้องให้ต้องไปนิพพานก่อน แต่มันเรียกร้องแค่ให้มีสติ มีปัญญา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติ แต่มันต้องอาศัยศีลมารองรับไม่ว่าจะเป็น สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และนี่ก็คือศีล 5 ง่ายๆ
Fri, 26 Jan 2024 - 42min - 871 - 25661124pm--ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก
24 พ.ย. 66 - ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก : หลายคนกว่าจะรู้ก็ตอนจะตาย อุตส่าห์ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง ชื่อเสียง เพื่อให้ได้เป็น CEO เพื่อให้ได้เป็นรัฐมนตรี สุดท้ายตอนใกล้ตายพบว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่พึงเป็นสรณะของชีวิตอย่างแท้จริง เพราะมีเท่าไหร่ก็ยังไม่หายทุกข์ มารู้เอาตอนจะตาย หลายคนเป็นอย่างนี้ มารู้ว่าทั้งหมดที่หามาทั้งชีวิต ต้องฟาดฟัน ต่อสู้ บางทีต้องทรยศ หักหลัง หรือแม้จะต้องต่อสู้จนทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับญาติพี่น้อง กว่าจะได้มาแล้วพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตต้องการเลย เพราะมันไม่ช่วยทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริง หลายคนบอกว่า “รู้งี้กูไม่ทำอย่างนี้หรอก” คนใกล้ตายหลายคนที่มักจะพูดอย่างนี้ “รู้งี้จะไม่ทำอย่างที่เคยทำ” เช่น การทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ความรู้ส่วนใหญ่มีประโยชน์ แต่ที่ไม่มีประโยชน์ก็คือ ‘รู้งี้’ เพราะสายไปแล้ว มารู้งี้ตอนจะตาย บางคนนี้บอก ‘รู้อย่างนี้’ จะไม่ทุ่มเททั้งชีวิตนี้ให้กับการงาน แต่ก่อนเคยคิดว่า “ถ้าไม่มีเรา งานไม่สำเร็จ” “องค์กรอยู่ได้เพราะเรา” “ถ้าไม่มีเรา องค์กรอยู่ไม่ได้” แล้วคิดต่อว่า “อะไรที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้า ฉันก็จะทำเพื่อสิ่งนั้น” พอถึงตอนนี้รู้ว่าพอป่วยระยะท้ายมาพบว่า “ไม่มีเรา องค์กรก็อยู่ได้” “เราไม่ทำ คนอื่นเขาก็ทำแทน” แล้วมีหลายคนที่พูดแบบนี้
Thu, 25 Jan 2024 - 45min - 870 - 25661122pm--มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์
22 พ.ย. 66 - มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์ : คนเราถ้ารู้จักมองสิ่งที่มีบ้าง ก็ทำให้เราตัดใจจากสิ่งที่เสียไปได้ ตัดใจทั้งในแง่ที่ว่า ไม่มากลุ้มอกกลุ้มใจกับมัน แล้วก็ไม่ไปคิดที่จะทำอะไรเพื่อจะทำให้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมา ทั้งๆ ที่มีโอกาสที่จะเสียหนักขึ้นกว่าเดิม และถ้าคนเราได้ตระหนักว่า จริงๆ ที่เราเสียไป แม้จะเสียเยอะ แต่สุดท้ายเราก็ยังกำไร เพราะว่าเราเกิดมาก็ตัวเปล่า เสื้อผ้าก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ที่เรามีทรัพย์สินมากมายทุกวันนี้ ทั้งหมดที่มีคือกำไร แม้บางอย่างจะหายไปสูญไป ก็ยังกำไรอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะกำไรน้อยลง หากเราไม่มองสิ่งที่เสียมากเกินไป แต่มาจดจ่อกับสิ่งที่เรามี มันก็ทำให้ทุกข์น้อยลง ยิ่งถ้าเราฝึกจิตจนกระทั่งรู้จักปล่อยวางได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทั้งหมดที่มี สุดท้ายก็ต้องสูญไป ไม่สูญวันนี้ ไม่เสียวันนี้ก็เสียวันหน้า วันที่เราตาย หมดลม ก็ไม่มีอะไรเหลือ ต้องสูญเสียไปหมดแม้กระทั่งลมหายใจ ทุกอย่างที่มี ร่างกาย ก็คืนสู่ธรรมชาติ ทรัพย์สินก็คืนหรือมอบให้กับลูกหลาน หรือว่าแผ่นดิน ถ้าเรารู้แบบนี้ เราก็ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา มันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้นจะเสียใจไปทำไม ถ้าเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มี อันนี้เรียกว่ามีเป็น พอมีเป็น ถึงแม้เสียไปก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ามีไม่เป็น มันก็จะทุกข์กับการสูญเสีย ซึ่งก็มีแต่จะเป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
Wed, 24 Jan 2024 - 27min - 869 - 25661122--อันตรายในมือเด็ก
22 พ.ย. 66 - อันตรายในมือเด็ก : อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยินมาแล้ว ว่าเดี๋ยวนี้คนติดโซเชียลมีเดียมาก ไม่ใช่เฉพาะเด็กและเยาวชน ผู้ใหญ่ก็ติด หลายๆ คนก็เกิดความทุกข์ เพราะว่าเห็นคนนั้นคนนี้เขาได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปญี่ปุ่น ไปเกาหลี แต่เราต้องมาทํางานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ได้ไปกินอะไรอร่อยๆ เหมือนเขาเลย รู้สึกแย่ รู้สึกว่าชีวิตมันย่ำแย่ แบบนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ แต่มันไม่หนักหนาเท่ากับผลร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่งทําให้หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะว่าเกิดภาวะซึมเศร้าจิตตก ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นความตั้งใจของพวกโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ที่พยายามกระตุ้นให้มีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ทํานองนี้ เพราะว่ามันจะกระตุ้นให้คนติดตาม และก็มีส่วนร่วมแชร์อะไรต่างๆ เพราะว่าถ้าคนติดตามโซเชียลมีเดียมากเท่าไร เขาก็มีโอกาสที่จะได้ข้อมูลส่วนตัวเอาไปขาย ประโยชน์สารพัด ประโยชน์ทางธุรกิจหรือมิฉะนั้นก็เปิดโอกาสให้ขายโฆษณา เรียกว่าไม่รับผิดชอบ พอมีนโยบายเป็นแบบนี้มากๆ เข้า ก็เลยไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหา เนื้อหาทั้งหมดนี้ เราก็คงสังเกตว่าบางทีมันมีโพสต์ หรือภาพ หรือคลิปโผล่ขึ้นมาในโทรศัพท์ของเรา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ติดตามแต่มันโผล่ขึ้นมา ซึ่งบางทีก็เป็นภาพลามก เป็นคลิปเอ็กซ์ หรือว่าบางทีก็เป็นคลิปที่น่ากลัวสยดสยอง มันทําได้อย่างไร มันก็มีอัลกอริทึม (Algorithm คือ กระบวนการที่เมื่อนำเข้าข้อมูลใด โปรแกรมจะกำหนดว่าจะต้องได้ผลลัพธ์เช่นนั้น และทำให้เกิดกระบวนการทำวนซ้ำของข้อมูลอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการทำงานของข้อมูลตามที่กำหนดไว้) ที่มันถูกสร้างขึ้นมา ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อนําเสนอให้กับผู้ติดตาม ผู้ที่เป็นลูกค้า ผู้ที่ใช้ Facebook Instagram และหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อ ผู้ใหญ่ไม่เท่าไร แต่เด็กตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
Tue, 23 Jan 2024 - 10min - 868 - 25661121pm--ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข
21 พ.ย. 66 - ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข : คำแนะนำ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่หาทุกข์มาทับถมตน’ ‘ไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรมหรือไม่มองข้ามความสุขที่ชอบธรรม’ ‘ไม่สยบมัวเมาในความสุขนั้นหรือไม่ยึดติดในความสุข แม้ชอบธรรมก็ตาม’ รวมทั้ง ‘รู้จักขจัดเหตุแห่งทุกข์’ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยสติเป็นตัวนำ เพราะถ้าไม่มีสติเป็นตัวนำ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำมาทั้ง 4 ประการนี้แม้เราจะเห็นว่าดี ก็ทำไม่ได้ มันก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลงไปตามอารมณ์ หลงไปตามกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจเรื่องสุขและทุกข์ให้ดี และปฏิบัติกับทุกข์อย่างไร ปฏิบัติอย่างไรกับสุขให้ถูกต้อง เราจะรู้เลยว่าสตินี้สำคัญมาก มันจะทำให้เราสามารถปฏิบัติกับสุขและทุกข์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่ทุกข์ไม่เอาอย่างเดียว สุขก็ไม่เอาด้วย เรียกว่าอยู่เหนือสุข อยู่เหนือทุกข์เลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่จะพาให้จิตใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง
Mon, 22 Jan 2024 - 29min - 867 - 25661120pm--สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา
20 พ.ย. 66 - สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา : หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดเสมอว่า “นักปฏิบัติต้องเป็นนักฉวยโอกาส” ฉวยโอกาสทุกเวลา ทุกกิจกรรมที่ทำเพื่อการเจริญสติ หรือแม้มีการกระทบ มีการกระทบเกิดขึ้นเกิดอารมณ์ เกิดความโกรธ เกิดความเศร้า เกิดความดีใจ เกิดความเสียใจ ก็เป็นโอกาสของการเจริญสติ อย่างเด็กที่พูดถึง ดีใจก็เห็นมัน เห็นข้างในมันดีใจ เห็นความดีใจ แต่ไม่ใช่ผู้ดีใจ อันนี้เด็กเขาก็รู้เห็นแต่ไม่เข้าไปเป็น แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การปฏิบัติในรูปแบบ ก็ยังเห็นไม่เข้าไปเป็น เห็นความดีใจไม่เป็นผู้ดีใจ เพราะฉะนั้นการเจริญสติแบบจึงเป็นวิธีสากล ยิ่งเราฝึกด้วยการเปิดตา ไม่ปิดตา มันยิ่งมีประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะว่ากิจกรรมส่วนใหญ่เราก็เปิดตาทำทั้งนั้น ตั้งแต่เก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า ข้ามถนน ขับรถ กวาดใบไม้ ล้างจาน เปิดตาทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักทำความรู้สึกตัวในขณะที่เปิดตาสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม มันก็ไม่ยากที่เราจะทำความรู้สึกตัวในขณะที่เราทำกิจกรรมต่างๆ มันเป็นการประยุกต์ที่ง่าย เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักทำการปฏิบัติให้มันกลืนไปกับชีวิตประจำวัน มันจะไม่มีข้ออ้างเลยว่าไม่มีเวลา ถ้ามันมีข้ออ้างแบบนี้เมื่อไรแสดงว่า มันเป็นเหตุผลของกิเลส เป็นข้ออ้างของกิเลส อาจจะต้องถามตัวเองว่าเรามีเวลาโกรธไหม เรามีเวลาเครียดไหม เรามีเวลาเศร้าไหม กับความโกรธ ความเศร้า เราให้เวลากับมัน แต่ทำไมการเจริญสติ การปฏิบัติ เราจึงไม่ยอมให้เวลากับมัน และอย่างที่บอกถ้าเราปฏิบัติโดยไม่ใช้รูปแบบ มันไม่เรียกร้องเวลาเลย เพราะว่าทำอะไรก็เอาการปฏิบัติ หรือการเจริญสติสวมทับเข้าไปได้เลย ไม่ว่ากินดื่มเคี้ยวลิ้ม หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำอุจจาระปัสสาวะ ก็เป็นโอกาสในการเจริญสติทำความรู้สึกตัวได้
Sun, 21 Jan 2024 - 27min - 866 - 25661119pm--ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก
19 พ.ย. 66 - ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก : แต่ว่าความคิด อารมณ์ มันไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่เราทำนั่นทำนี่อย่างเดียว อาจจะรวมถึงเวลาเราเจอนั่นเจอนี่ด้วย เจอเสียงดัง เจอเสียงนกร้องที่ไพเราะ หรือว่าเจอคำพูดทั้งคำชมและคำตำหนิ หรือว่าเจอความร้อน เจออากาศหนาว เวลาเจอหรือมีการกระทบแบบนี้ มันก็มักจะมีความคิดเกิดขึ้น ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ หรือว่าบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ก็ให้มีสติเห็นความคิดนึก ซึ่งมันก็ทำให้เราทำ 2 อย่างไปด้วยกันเลย ก็คือทำงานภายนอก ทำงานภายใน ‘งานภายนอก’ คือ การรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง ที่มากระทบ ส่วน ‘งานภายใน’ ก็คือเห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทบนั้น และเช่นเดียวกันเวลาทำนั่นทำนี่ รดน้ำต้นไม้ ล้างจาน หรือว่าเดินไปเดินมา รวมทั้งทำงานทำการที่เป็นเรื่องของอาชีพการงาน ทำครัว ทำอาหาร อันนี้เรียกว่าเป็นงานภายนอก แต่ว่าขณะที่ทำ ใจก็รับรู้ถึงสิ่งที่ทำ เกิดความรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ รวมทั้งรู้เห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากงานที่ทำหรืออาจจะไม่เกี่ยวอะไรก็ได้ แต่ใจมันคิดโน่นคิดนี่ก็รู้ นี่คืองานภายใน หรือจะเรียกว่าเป็นการรู้ในก็ได้ ถ้าเราขยันหมั่น รู้นอก-รู้ใน ไปด้วยกันเสมอ หรือ ทำงานภายนอก-ทำงานภายใน ไปด้วยกันเสมอ มันก็จะทำให้ฐานใจของเราหยั่งลึก แล้วก็ทำให้ชีวิตของเรามีความมั่นคง ทำงานอะไรมันก็ไปได้ดี แม้จะล้มเหลวแต่ก็ไม่ทุกข์ เอาความล้มเหลว เอาความผิดพลาดเป็นครู มันก็เกิดความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งเป็นงานที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม เพราะว่ามีใจที่มีคุณภาพเป็นตัวขับเคลื่อนหรือตัวกำกับ
Sat, 20 Jan 2024 - 29min - 865 - 25661118pm--ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ
18 พ.ย. 66 - ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ : วิชารู้ซื่อๆ วิชาเห็นไม่เข้าไปเป็น สำคัญมาก จะช่วยทำให้เรารับมือกับสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจได้ อย่างที่บอก การทำความเพียรเพื่อประสบสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถูกใจยากแล้ว แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ การวางใจเป็นกลาง หรือยอมรับสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจเรา วิชานี้สำคัญมาก เพราะสุดท้ายเราก็ต้องเจอไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นฝึกเอาไว้ การเจริญสติไม่ใช่เพื่อให้สงบอย่างเดียว แต่แม้ไม่สงบก็ยอมรับได้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สงบ อยู่กับความเจ็บปวด อยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกใจด้วยใจที่ไม่ทุกข์ รถติดจิตก็ไม่ตก ไม่ว่าเจออะไร คำต่อว่าด่าทอมากระทบใจก็ยังสงบได้ ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีใครว่า ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีเสียงกระทบหู แต่เพราะว่ามีสติต่างหากจึงไม่ปล่อยให้อารมณ์อกุศลมาครอบงำจิต รู้ทันมัน แล้วก็เห็นมัน แล้วก็วางมันลง
Sun, 14 Jan 2024 - 31min - 864 - 25661117pm--เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์
17 พ.ย. 66 - เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์ : แต่ถ้าหากว่ารู้จักไตร่ตรองจนเห็นเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เเล้วก็ปรับแก้ที่ใจเรา บางทีเราไม่จำเป็นต้องมองว่าเสียงระเบิดว่าเป็นเสียงความสุขเหมือนกับเด็ก 3 ขวบคนนั้นก็ได้ แต่ว่าเราอาศัยสติ เวลาเสียงแบบนั้นมันดังกระทบหู ใจกระเพื่อม เห็นอาการของใจที่กระเพื่อม เห็นความตกใจที่เกิดขึ้น แล้วความตกใจมันก็สงบลง ก็จะพบว่า เป็นเพราะใจเราที่มันถลำเข้าไปในความตกใจในอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้ยินเสียงแต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะรู้ทันความตกใจ หรือ รู้ทันอาการของใจที่เกิดขึ้น มันก็ใช้สติช่วยได้เหมือนกัน ใช้สติช่วยทำให้เราไม่ใช่แค่ปล่อยวางอารมณ์ลบที่เกิดขึ้น ซึ่งเท่านี้มันก็ช่วยทำให้ใจเราไม่ทุกข์แล้ว เพราะว่าความตกใจถ้าเราเห็นมัน มันก็ไปครอบงำใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเห็นต่อไปว่า มันเป็นเพราะเราไปคาดหวังความสงบ ทุกอย่างจะต้องราบรื่น แต่พอมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จึงเกิดความทุกข์ อย่างที่ท่านว่า “ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์” แต่ถ้าไม่ปรารถนา แม้ไม่ได้มันก็ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นการไม่ได้ มันไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราทุกข์ เพราะเหตุแห่งทุกข์จริงๆ อยู่ที่ความปรารถนาสิ่งนั้น จับสมุทัยให้ถูก แล้วเราก็จะแก้ทุกข์ในใจของเราได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้สิ่งแวดล้อมภายนอก มันเปลี่ยนแปลงหรือถูกใจเรา อย่างที่แซมเขาก็พบความสงบในใจ เพราะเขาไม่ได้เรียกร้องคาดหวังความเข้าใจจากคนอื่น แต่เขากลับมาเปลี่ยนที่ใจเขาเอง
Sat, 13 Jan 2024 - 30min - 863 - 25661116pm--กล้าผิดไม่กลัวเผลอ
16 พ.ย. 66 - กล้าผิดไม่กลัวเผลอ : ระหว่างเป็นผู้เครียดกับเห็นความเครียดมันต่างกัน แล้วการที่เราจะเห็นความเครียดว่ามันต่างจากการเป็นผู้เครียด เงื่อนไขแรกคือต้องยอมให้มันเครียดก่อน ยอมให้ความเครียดเกิดขึ้นก่อน เราถึงจะเห็นว่ามีความเครียดเกิดขึ้น และเห็นความแตกต่างระหว่างการเห็นความเครียดและการเป็นผู้เครียด อย่างน้อยพื้นฐานต้องมาถึงตรงนี้ และพอเราเห็นแล้ว ความเครียดก็ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะมันเกิดระยะห่าง เราจะเห็นความเครียดก็ต่อเมื่อออกจากความเครียดก่อน แต่ถ้าเป็นผู้เครียดก็คือเข้าไปคลุกวงในแล้ว ไปจมอยู่ในความเครียดแล้ว มันก็ทุกข์ แต่พอเราพาจิตออกจากความเครียด มันก็จะเห็นความเครียด และใจก็จะไม่ทุกข์ และไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์หรือสงบได้ง่ายขึ้น แต่ยังเกิดปัญญาด้วยว่า ความเครียดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นความรู้ที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราเห็นต่อไปว่า ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น มันเป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตรงนี้เรียกว่าปัญญาเริ่มเกิดแล้ว มันไม่ใช่แค่ความสงบ แต่ว่ามันเกิดความสว่างขึ้นในใจด้วย
Fri, 12 Jan 2024 - 29min - 862 - 25661115pm--รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์
15 พ.ย. 66 - รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์ : นักปฏิบัติธรรมบางคนเห็นความโกรธ แต่มองไม่เห็นเบื้องหลังความโกรธคือความอยาก เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ต้องเห็น เราต้องปฏิบัติจนกระทั่งเห็น ไม่ใช่แค่ตัวความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้จิตใจว้าวุ่นหรือว่าเกิดความไม่พอใจ แต่ต้องเห็นตัวการที่มันอยู่เบื้องหลังความไม่พอใจนั้น ทำนองเดียวกัน เวลาเราทำอะไรดีแล้วมีคนชม เราก็ดีใจ เราก็เห็นความดีใจนั้น เห็นความดีใจแล้วก็วาง ไม่ปล่อยให้ใจเคลิ้มกับคำชม อันนี้ดี แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดไปเห็นว่าเบื้องหลังความพอใจคืออะไร เป็นเพราะเรารู้สึกได้หน้าได้ตา เป็นเพราะอัตตามันพองโต เป็นเพราะอยากได้คำชื่นชมสรรเสริญ อันนี้ก็คือกิเลสอีก ก็ให้รู้ ถ้าเราเจริญสติแล้วเรารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แต่ไม่ทะลุถึงกิเลส ถือว่ายังไม่ก้าวหน้าพอ ต้องทะลุไปจนถึงเห็นอะไรที่มันลึกไปกว่านั้น บางคนมีญาติมายืมเงิน เครียดมาก เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็มีความเครียด แต่ก็มีสติรู้ทันเห็นความเครียด พอรู้แล้วก็วาง สุดท้ายใจก็สงบ ไม่เครียดแล้ว แต่นั่นยังไม่พอ จะดีกว่านั้นถ้าเกิดเห็นว่าที่เครียดเพราะอะไร เครียดเพราะว่ายังมีความตระหนี่ในเงิน ยังเสียดายเงิน ยังมีความหวงแหนในเงิน ตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นกิเลส ฉะนั้นแค่เห็นความคิด เห็นอารมณ์ยังไม่พอ ต้องเห็นกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์เหล่านั้นด้วย และต่อไปมันจะเห็นลึกไปถึงขั้นว่าจริงๆ แล้วความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันไม่ได้อยู่ที่มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา มันอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การวางใจของเรา อยู่ที่อากัปกิริยาหรือท่าทีของใจเรา ซึ่งถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้
Thu, 11 Jan 2024 - 29min - 861 - 25661114pm--สติมาไว ใจคลายทุกข์
14 พ.ย. 66 - สติมาไว ใจคลายทุกข์ : สติก็เหมือนกัน เราก็ต้องให้โอกาสสติได้ทำงาน คือให้สติระลึกนึกขึ้นมาได้เอง เดินจงกรมไปเรื่อยๆ สร้างจังหวะไปเรื่อยๆ ใหม่ๆ กว่าจะรู้กก็คิดไปสิบเรื่อง แต่ทำไปเรื่อย ทำไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองสามชั่วโมง สี่ห้าชั่วโมง สติก็จะรู้ทันความคิดได้ไวขึ้น รู้ทันอารมณ์ได้ไวขึ้น และเป็นการรู้เอง และพอถึงจุดหนึ่ง แค่คิดยังไม่ทันจบเรื่อง มันก็รู้แล้ว บางทีคิดปั๊บก็รู้ปุ๊บเลย ถึงตอนนั้นก็อดทึ่งไม่ได้ว่า โอ้โหสติทำงานได้อย่างน่าทึ่งมาก เรียกว่าเหมือนปาฏิหาริย์เลยทีเดียว ไม่เคยคิดว่าสติจะทำงานได้เร็วขนาดนี้ เผลอคิดปุ๊บมันรู้ปั๊บเลย รู้แล้ววาง รู้แล้ววางโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องคอยไปดักจ้องความคิด สติทำงานแทน สติบอกเราเองว่า ตอนนี้เผลอไปแล้ว มีความคิดเกิดขึ้นแล้ว มีอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว มันรู้แล้ววาง ทันทีเลย มันจะถึงภาวะนี้ได้ มาถึงจุดนี้ได้มันก็ต้องยอม อดทนให้สติได้ทำงาน เปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานของเขา แม้จะช้า แต่เราก็ต้องใจเย็น อย่าไปใจร้อน ต้องมีความอดทน แล้วสติก็จะเติบโตและทำงานได้ดีขึ้นๆ ใจเราก็จะเบา ความคิดอารมณ์ก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง
Wed, 10 Jan 2024 - 30min - 860 - 25661113pm--ขุมทรัพย์กลางใจ
13 พ.ย. 66 - ขุมทรัพย์กลางใจ : คนเราเป็นหนี้สติและความรู้สึกตัว โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ป่านนี้เราคงแย่ไปแล้ว หรือแย่กว่านี้ อาจจะประสบอุบัติเหตุขณะขับรถ อาจจะโดนรถชนขณะข้ามถนน หรือว่าอาจจะเผลอไผลไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน จนกระทั่งต้องลงไม้ลงมือทำร้ายกัน หรือเป็นทาสของสิ่งยั่วยุและเย้ายวน เช่น อบายมุขต่างๆ ตัวหนึ่งของการที่เราไม่ตกไปเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็พาตัวมาถึงตรงนี้ได้ ก็เพราะว่าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว แต่ถ้าเรามีสติที่เร็วกว่านี้ ว่องไวกว่านี้ มีความรู้สึกตัวที่แจ่มชัดกว่านี้ เราจะได้พบสิ่งดีๆ อีกมากมายที่มีคุณค่าต่อชีวิต ถึงขั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย สติจึงเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐมาก เรียกว่าอริยทรัพย์ ไม่ต้องไปแสวงหาทรัพย์ที่ไหน เพราะว่าของดีมีอยู่แล้วในใจเรา อยู่ที่ว่ามารู้จัก แล้วก็ทำให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้น และนี่แหละก็คือสิ่งที่เราควรจะหวังได้จากการปฏิบัติ หรือหวังได้จากการเดินทางมาปฏิบัติถึงที่นี่
Tue, 09 Jan 2024 - 28min - 859 - 25661104pm--ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย
4 พ.ย. 66 - ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย : คนทุกวันนี้เสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เยอะมาก เพราะไปให้ค่า ไปให้ความสำคัญกับมัน อาจจะเป็นเพราะยึดติดในความถูกต้อง หรือยึดติดในมารยาทจะต้องไม่มามีอะไรมากระทบฉัน ยึดติดในความถูกต้องว่า “ฉันมีสิทธิ์ในร่างกายของฉัน อย่ามากระแทกกระเทือกอะไรกับฉัน” ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ เหมือนกับถ้ามีเสียงโทรศัพท์ดังในห้องนี้ ที่จริงก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าไปหงุดหงิดหัวเสียกับมัน เราขาดทุน ฉะนั้นถ้าเรารู้จักวางใจเสียบ้าง ดูแลใจให้ดี อย่าไปเสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กน้อย อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ ปัญหาคือทุกวันนี้คนเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย อะไรเป็นเรื่องใหญ่ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด เพื่อนบ้านส่งเสียงดังก็เป็นเรื่องใหญ่ ใครทำอะไรไม่ถูกใจขวางหูขวางตาก็เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายหาความสงบเย็นในจิตใจไม่ได้เลย ทั้งที่เวลาในชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ เอาเวลาที่มีอยู่ซึ่งมีคุณค่ามาใส่ใจกับเรื่องสำคัญดีกว่า เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องเล็กน้อยปล่อยมันไปเถอะ อย่าไปเอาถูกเอาผิดกับมันมาก เพราะว่าเราไม่สามารถจะให้ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกต้องได้
Mon, 08 Jan 2024 - 47min - 858 - 25661103pm--เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม
3 พ.ย. 66 - เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม : แต่ว่ามีบางคนที่ฉลาดมีปัญญา การเติมเต็มชีวิตแทนที่จะเอาอะไรต่ออะไรมาสุมมากอง ก็อาศัยคุณธรรมความดีแล้วก็ปัญญา แสงประทีปที่เต็มห้องเปรียบอุปมาหมายถึง ‘ปัญญา’ ส่วนกลิ่นหอมก็หมายถึง ‘ความดีคือคุณธรรม’ ห้องนี้มันก็ชัดอยู่แล้วหมายถึง ‘ชีวิตหรือจิตใจ’ คนเราแทนที่จะไปหาเงินทองชื่อเสียงมาเติมเต็มชีวิตหรือจิตใจ ก็มาแสวงหาคุณธรรม ความดี แล้วก็สติปัญญา ปัญญาในที่นี้หมายถึง ‘การรู้จักตัวเอง’ และ ‘การเข้าใจความจริงของชีวิต’ จนกระทั่งรู้อะไรคือสาระที่แท้ของชีวิต รู้ว่าอะไรคือจุดหมายที่แท้ของชีวิต จนกระทั่งสามารถที่จะรักตัวเองได้ รักตัวเองได้เพราะว่าเห็นคุณค่าของตัวเองหรือภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจเพราะอะไร ภูมิใจเพราะได้ทำความดี การทำความดีก็ทำให้เกิดความสุข เป็นความสุขใจ นั้นคนเราที่ ‘พร่อง’ หรือ ‘ว่างเปล่า’ เอาเงินทองเท่าไหร่มาเติมก็ไม่เต็ม เพราะมันไม่ได้ทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง ความสุขอย่างแท้จริงมันเกิดจากการที่รู้จักรักตัวเอง เคารพตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รวมทั้งการที่ได้หมั่นทำดี สร้างกุศล จนรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และรวมถึงการได้เข้าถึงความสงบในจิตใจด้วย
Sun, 07 Jan 2024 - 27min - 857 - 25661029pm--แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้
29 ต.ค. 66 - แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้ : อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระสาวกอย่างตัวอย่างที่เล่ามา ใครเขาจะติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไร เราก็อย่าโกรธ อย่าขุ่นมัว อย่าพยาบาท เพราะขืนทำเช่นนั้นอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง และเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คำพูดบางอย่างแม้มันจะเป็นคำหยาบคาย แต่อาจมีประโยชน์ ถ้าเรารู้จักมอง เช่น เอามาเป็นเครื่องสอนใจว่า โลกธรรมก็เป็นอย่างนี้ มีคนชมเราก็ต้องมีคนตำหนิ มีคนชอบก็ต้องมีคนชัง คำต่อว่าด่าทอ หรือว่าความชังที่เกิดจากผู้อื่น มันก็สอนสัจธรรมให้กับเรา แล้วขณะเดียวกันมันก็เป็นเครื่องฝึกสติของเรา ให้รู้จักไวในการรู้ทันเมื่อมีความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็ฉลาดในการปล่อยวาง ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ใจเราไม่ทุกข์ แถมมีความเจริญงอกงามมากขึ้น สามารถที่จะรับมือกับความทุกข์ที่อาจจะรุนแรงหนักหนาสาหัสในวันข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราวางใจแบบนี้ได้ถูก ไม่ใช่เราจะพบความสงบในใจเมื่ออยู่วัด แม้ออกไปข้างนอก หรือกลับไปภูมิลำเนา ถ้าเป็นพระสึกหาลาเพศไป หรือเป็นนักปฎิบัติที่กลับบ้านไป ไปทำงาน ไปสู่ครอบครัว ก็ยังสามารถพบความสงบได้ เป็นความสงบที่ไม่ได้เกิดจากสถานที่ แต่เป็นความสงบที่เราสร้างขึ้นมาในใจ จากการที่เรารู้จักฝึกตนจนสามารถรับมือกับความผันผวนปรวนแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่มากระทบได้ มันจะมากระทบตา กระทบหู กระทบกายอย่างไร ใจไม่กระเพื่อม จิตไม่กระเทือน นี้คือความสงบที่เราสามารถจะสร้างขึ้นได้ในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปหาที่วัด หรือแม้จะอยู่วัด มีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน เราก็มีความสงบได้ อันนี้แหละก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะฝึกได้สร้างได้ จากการที่เรารู้จักฝึกตน รวมทั้งเรียนรู้ด้วยการฝึกจากสิ่งที่มากระทบต่างๆ มากมาย
Thu, 04 Jan 2024 - 30min - 856 - 25661028pm--อุบายสู่ความพอดี
28 ต.ค. 66 - อุบายสู่ความพอดี : แต่เวลาคนมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนอีกแบบหนึ่งว่าในทุกข์ หาสุขพบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ คนส่วนใหญ่ติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยเตือนว่า ระวัง ! มันมีทุกข์รออยู่นะ หรือว่าทุกข์กำลังอยู่กับเราในขณะนี้แล้วเพื่อไม่ให้ติดสุข แต่คนที่มีทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าก็สอนว่าอย่าจมในทุกข์ ให้เห็นว่าในทุกข์ มันมีสุข อันนี้เป็นวิธีการสอนที่คนอาจจะไม่เข้าใจ มักจะมองพุทธศาสนาว่ามองลบ ที่จริงท่านก็มองบวกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยชี้ให้เห็นทุกข์ แต่คนที่มีทุกข์พระพุทธเจ้าก็สอนให้มองว่ามันมีสุขอยู่ด้วย ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วย แม้จะถูกต่อว่าด่าทอก็ยังดีกว่าถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหิน ถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหินก็ยังดีที่เขาไม่ทำร้ายด้วยท่อนไม้ ทำร้ายด้วยท่อนไม้ก็ยังดีที่เขาไม่เอาของแหลมมาแทง เอาของแหลมมาแทงก็ยังดีที่เขาไม่ฆ่าให้ตาย และเขาฆ่าให้ตายก็ยังดีที่ไม่ต้องไปหาอาวุธมาทำร้ายตัวเอง อันนี้เป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระปุณณะ พระปุณณะบอกว่า เจออะไรก็ดีทั้งนั้น ถูกเขาด่าว่าก็ดี ถูกเขาเอาหินขว้างก็ดี ถูกเขาเอาไม้มาฟาดก็ดี ถูกเขาเอาศาสตรามาทิ่มแทงก็ดี ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าดีแล้ว ถือว่าเอาตัวรอดได้ อันนี้คือตอนที่พระปุณณะไปเมืองสุนาปรันตชนบทซึ่งคนเมืองนี้ดุร้ายมาก ซึ่งเป็นการมองบวก ชี้ให้เห็นว่า เวลาเจอทุกข์ ถ้าเรารู้จักมองบวกบ้าง มันก็ยังไม่จมในทุกข์ แต่เป็นเพราะคนเราชอบเพลินในสุข พระพุทธเจ้าจะเตือนให้เห็นว่าสุขที่กำลังเพลิดเพลิน มันทุกข์ทั้งนั้น “เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว” แต่สำหรับคนที่จมอยู่ในทุกข์ พระพุทธเจ้าก็จะเตือนว่า “ในทุกข์ หาสุขพบ”
Wed, 03 Jan 2024 - 30min - 855 - 25661027pm--ยกใจให้สูงขึ้น
27 ต.ค. 66 - ยกใจให้สูงขึ้น : เราก็จะเห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นกันเยอะเลย ซึ่งมันทำให้หลายคนก็รู้สึกว่า ทำไมรู้ธรรมะเยอะ ฟังธรรมะก็มาก แต่ทำไมยังเห็นแก่ตัวอยู่ ทำไมยังขี้โกรธอยู่ อันนี้ก็เพราะว่าหัวอยู่อุดมแล้วแต่ใจยังประถมอยู่เลย หรือมันยังมีช่องว่างระหว่างหัวกับใจมาก ช่องว่างระหว่างความคิดกับความรู้สึก เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาทั้งหัวทั้งใจ ความรู้ก็ต้องมี เข้าใจธรรมะขั้นสูง แต่ก็ต้องฝึกใจให้มีความเห็นแก่ตัวน้อย มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักพอใจสิ่งที่มียินดีสิ่งที่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากเลยสำหรับธรรมะ แต่พื้นฐานจำเป็น หรือถึงแม้ว่าความรู้อาจจะยังน้อย แต่ว่าถ้าหากว่าพื้นฐานที่ฝึกจิตฝึกใจพัฒนา หมายความว่าหัวอาจจะยังอยู่ขั้นมัธยม แต่ว่าใจอาจจะพัฒนาไปถึงระดับอุดมแล้ว อันนี้ยิ่งประเสริฐเลย ฉะนั้นเวลาฝึกธรรมะหรือสอนธรรมะ ต้องตระหนักว่าทำอย่างไรจะให้ใจมันยกระดับสูงขึ้น จนกระทั่งมันประสานกับหัว หรือว่าอารมณ์ความรู้สึกประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความคิด คิดอย่างไร เห็นอย่างไร ใจก็คล้อยตามโน้มไปทางนั้น ไม่ใช่ว่าความคิดความเห็นไปทางหนึ่ง ใจไปอีกทางหนึ่ง เพราะเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งง่ายๆ เช่นว่า ก็รู้เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี แต่ก็ยังห้ามใจไม่ได้ ยังหวงแหนยังโหยหาสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็เหมือนกันเป็นช่องว่างระหว่างหัวกับใจ อย่างที่เขาเรียกว่าดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้
Tue, 02 Jan 2024 - 28min - 854 - 25661026pm--มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น
26 ต.ค. 66 - มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น : สอนคนอื่นได้ แต่ว่าสอนตัวเองไม่ได้ ในขณะที่อยากให้คนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทั้งที่ตัวเองมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เพราะว่าการที่มาเดินจงกรม สร้างจังหวะ มันอาจจะน่าเบื่อในช่วงแรก แต่ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาซึ่งเทียบไม่ได้กับการมานั่งอ่านหนังสือ หรือว่าต้องเลิกเล่นเกม การมาทำอะไรที่ไม่คุ้นไม่เคย มาทำอะไรที่ไม่ชอบ สำหรับเด็กเป็นเรื่องที่หนักกว่า เราที่เป็นผู้ใหญ่เรายังทำไม่ได้แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไปเรียกร้องให้เด็กซึ่งมีวุฒิภาวะน้อย ประสบการณ์น้อย ทำอะไรต่ออะไรหลายอย่างซึ่งมันดี แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย ฉะนั้นก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลงคนอื่น ต้องกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
Mon, 01 Jan 2024 - 26min - 853 - 25661025pm--ทำดีได้ดีจริงหรือMon, 25 Dec 2023 - 28min
- 852 - 25661024pm--ความสงบสยบปัญหา
24 ต.ค. 66 - ความสงบสยบปัญหา : รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เสีย เขาก็หาว่าแก้ตัว อาจจะกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เลยคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือนิ่งเสีย อย่างมากก็พูดเพียงแค่ “อ๋อ อย่างนั้นเหรอ” ก็ถือว่าท่านมีสติ มีปัญญา และมีความหนักแน่น เพราะว่ารู้ดีว่า อธิบายชี้แจงไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้นิ่งเสียดีกว่า อย่างที่มีภาษิตไทยว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในกรณีท่านฮาคุอิน ท่านก็เห็นแล้วว่าพูดไปไม่มีประโยชน์ ท่านก็ดี ถูกด่าท่านก็นิ่ง เวลาได้รับคำชมท่านก็นิ่ง คือไม่ยินดียินร้ายกับคำต่อว่าด่าทอ และคำสรรเสริญ อันนี้ก็เป็นลักษณะการมีอุเบกขาของท่าน จากในกรณีนี้ท่านเห็นแล้วว่า การนิ่งเวลาถูกใส่ร้ายหรือถูกด่า มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งคนธรรมดาก็อาจจะไม่เห็นอย่างนั้น เพราะว่าอดรนทนไม่ได้ “ก็ฉันไม่ได้ทำ” หรือว่า “กูไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ก็ต้องโต้เถียง ก็เกิดเรื่องทะเลาะยืดยาว ไม่มีประโยชน์ อันนี้เพราะขาดสติแล้วก็ขาดปัญญา แต่ว่าท่านฮาคุอินท่านมีสติ อัตตาท่านก็น้อย ใครจะว่าท่านยังไง ท่านก็เฉย ท่านรู้ว่า การนิ่งมันดีกว่า
Sun, 24 Dec 2023 - 31min - 851 - 25661023pm--ธรรมสองระดับ
23 ต.ค. 66 - ธรรมสองระดับ : จะเห็นได้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีการสอนสองระดับอยู่เสมอควบคู่กันไป ระดับแรกท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่าขังคอก ให้อยู่ในกรอบ กรอบของศีลธรรม กรอบของความถูกต้อง รู้จักบังคับกดข่มอารมณ์ กดข่มอารมณ์เอาไว้ รู้จักหักห้ามใจ แต่พอถึงระดับหนึ่งท่านสอนให้ชี้ทางให้ผิดไป รู้จักปล่อย รู้จักวาง หรือว่าให้รู้ทันความคิด ให้เห็นความจริงว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา ให้เข้าใจเรื่องอนัตตา ในขณะที่ระดับพื้นฐาน ท่านก็สอนให้รักตน รักตนไว้ก่อน เช่นเดียวกันในระดับพื้นฐานท่านก็สอนให้รู้จักละชั่ว หรือเว้นชั่วและทำดี ในโอวาทะปาติโมกข์สองข้อแรกเราคุ้นกันดี พอถึงข้อสามท่านสอนว่าให้รู้จักทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็คือไม่ใช่แค่ทำดีอย่างเดียวแต่ต้องรู้จักทำจิตหรือทำใจด้วยจึงจะได้เข้าถึงสัจธรรม ทำดีมันก็ยังเป็นระดับจริยธรรมซึ่งก็ยังคงอยู่ในระดับสมมติ ในระดับโลกียะ แต่พระพุทธศาสนาไปไกลกว่านั้น สอนเรื่องโลกุตระ สอนเรื่องปรมัตถสัจจะด้วย ไม่ใช่แค่ติดอยู่กับสมมติสัจจะ ยังติดอยู่กับดีชั่ว แต่ว่าต้องรู้จักไปให้พ้นดีชั่ว เพราะว่าสุดท้ายมันก็ยังเป็นสมมติอยู่ ต้องเข้าถึงปรมัตถสัจจะ เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าโลกุตระซึ่งมีนิพพานเป็นเป้าหมายไม่ใช่แค่ความร่ำรวยในชาตินี้ หรือการไปสุคติ หรือการเข้าถึงสวรรค์ในชาติหน้า เราต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งสองระดับ และนำมาใช้ให้ถูก ในบางครั้งเราก็อาจจะต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่า ถ้ายึดมันถือมั่นมากไปมันก็เป็นโทษ ก็ต้องสามารถที่จะออกจากกรอบนั้น จนกระทั่งได้เห็นหรือเข้าถึงสภาวะที่เป็นการปล่อยวาง ถ้าเราเข้าใจธรรมะสองระดับที่ว่านี้ การปฏิบัติก็จะถูกต้อง และเวลาสอนคน เราก็จะสอนได้ถูกต้องสมกับภูมิหลังหรืออินทรีย์ของเขา
Sat, 23 Dec 2023 - 26min - 850 - 25661022pm--ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ
22 ต.ค. 66 - ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ : ความทุกข์มันเกิดขึ้นเมื่อใจเราไปร่วมมือกับเขา ถ้าเกิดว่าใจเราไม่ไปร่วมมือ ความทุกข์นั้นจะเกิดขึ้นได้เฉพาะภายนอก กับร่างกาย กับทรัพย์สิน ถ้าเกิดว่าเราเห็นตรงนี้ ว่าความโกรธมันเป็นภัยแก่ตัวเราเอง มันก็จะเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะจัดการกับความโกรธ แล้ววิธีจัดการกับความโกรธ มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสติรู้ทัน จะผลักไสกดข่มมันก็ไม่ได้ มันก็หลบ มันก็ซ่อน มันก็กลายเป็นเก็บกด ต้องรู้ทันนะ เห็นมัน เราก็แค่ดูมันเฉยๆ ดูมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงกับใช้คำว่าให้ทำยิ่งกว่านั้นคือ “โอบกอด” โอบกอดความโกรธ โอบกอดด้วยสติ โอบกอดด้วยความอ่อนโยน ท่านเปรียบเหมือนกับว่าแม่กำลังทำงานอยู่ดีๆ ทารกลูกน้อยเกิดร้องไห้ขึ้นมา แม่รีบทิ้งงานต่างๆ เลยเพื่อมากอดทารกน้อยอย่างอ่อนโยน ท่านติช นัท ฮันห์ บอกว่าความโกรธนั้นเปรียบเหมือนกับทารกน้อย ที่ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องโอบกอดมันด้วยความอ่อนโยน ท่านพูดถึงขนาดนี้เลย แต่ที่จริงแม้เพียงแค่เห็นมันเฉยๆ รู้ทันมัน มันก็เหมือนกับกองเพลิงที่พอไม่มีใครเติมฟืนเติมไฟให้มัน มันก็ดับเอง ตรงข้ามถ้าไปกดข่มมัน ไปผลักไสมัน ไปพยายามตัด พยายามห้ามมัน มันก็ยิ่งลุก ยิ่งกลายเป็นการต่ออายุ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ ถ้าเราไม่ใช้การให้อภัยหรือการแผ่เมตตา ก็ต้องมีสติที่จะรู้ทันความโกรธ แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันหรือยอมให้มันครองใจ หรือหวงแหนมันเอาไว้ในใจ
Fri, 22 Dec 2023 - 28min - 849 - 25661021pm--สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา
21 ต.ค. 66 - สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา : ถ้าเราดูแลใจดี ไม่ปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ไม่ปรุงแต่งเป็นภพ ชาติ มันก็ไม่เกิดชรา มรณะ มันก็ไม่เกิดทุกข์โทมนัส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก การที่เราพบความจริงว่า ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อเกิดมีการกระทบ แต่ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมีการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งในทางลบ หรือหรือว่ารวมไปถึงกิริยาอาการอย่างอื่น เช่น ผลักไส ยึดติดถือมั่น หรือที่สำคัญคือการปรุงแต่งตัวกูของกูขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดทุกข์ แปลว่าอะไร แปลว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ได้ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ ถ้ารู้ถ้าเห็นทุกข์อยู่ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ เราจะแย่เลยเพราะว่าเราต้องเจอกับรูปรสกลิ่นเสียงที่ไม่ดีมากมายตลอดทั้งวัน ตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การปรุงแต่ง มันก็หมายความว่า เรามีความสามารถที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันปรุงแต่งไปในทางลบ รวมทั้งไม่ผลักไส ไม่ยึดติดถือมั่น หรือถ้าจะปรุงแต่งก็ปรุงแต่งในทางบวกอย่างตัวอย่างที่ยกมา ซึ่งอันนี้มันอยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก ว่าเราจะเลือกปรุงแต่งในทางไหน
Thu, 21 Dec 2023 - 30min - 848 - 25661020pm--ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้
20 ต.ค. 66 - ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้ : จริงๆ ถ้าหากว่ามีสติ มีความรู้สึกตัว ทันทีที่เกิดผัสสะมีการเห็น มันก็มีแต่การเห็น แต่มันไม่มีผู้เห็น เมื่อเสียงกระทบหู เกิดการได้ยิน ก็มีแต่การได้ยิน ไม่มีผู้ได้ยิน แต่คนเราใหม่ๆ จะให้มีสติประเภทว่าไม่มีผู้เห็น ไม่มีผู้ได้ยิน นี่มันยาก แต่อย่างน้อยเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมา ความคิด เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย เกิดความพอใจไม่พอใจ เกิดความโกรธ ก็มีแต่อารมณ์นั้น แต่ไม่มีผู้ยินดี ไม่มีผู้ชอบ ไม่มีผู้โกรธ คือมันไม่มีการปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นเจ้าของอารมณ์นั้น อันนี้ก็ต้องอาศัยสติที่เห็น ไม่เข้าไปเป็น มีความโกรธ ไม่มีผู้โกรธ มีความยินดี ไม่มีผู้ยินดี มีความคิดเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้คิด ถ้ามาเห็นตรงนี้ได้อย่างทันท่วงที ใจก็จะเป็นปกติได้ ใครเขาจะด่าว่าอย่างไร ใจก็เป็นปกติ จะร้อนจะหนาวอย่างไร ใจก็เป็นปกติ แม้มันจะมีการเผลอยินดียินร้ายเกิดขึ้น แต่ว่าใจเป็นปกติ และตรงนี้แหละเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ หรือเป็นเครื่องวัดว่าเราปฏิบัติถูกหรือไม่ ก็คือเมื่อมีการกระทบ เมื่อเกิดผัสสะแล้ว ใจเรายังเป็นปกติได้ ไม่ใช่พอมีใครพูดไม่ถูกหู มีใครนินทากระทบหู เกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด มีเสียงดังมากระทบหูก็ไม่พอใจ คนที่จิตใจกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงเมื่อมีผัสสะ อันนี้เรียกว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเพราะว่าไม่ได้เห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง เพราะฉะนั้นคำว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย ว่าเราปฏิบัติได้ถูกต้องไหม เราเห็นทัน เรารู้ทันไหม หรือเราเห็นมันหรือเปล่า นี่แหละคือการปฏิบัติที่สำคัญ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย มันไม่ต้องใช้ความรู้หรือว่าความคิดพิสดารอะไรมาก มันเป็นธรรมะที่เข้าใจง่าย ขอเพียงแต่ปฏิบัติให้ถูกเวลา ให้ถูกกรณีก็แล้วกัน
Wed, 20 Dec 2023 - 26min - 847 - 25661019pm--โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา
19 ต.ค. 66 - โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา : กามสุขมันก็มีหลายระดับ อย่างหยาบๆ ก็เหล้า การพนัน ยาเสพติด จะเลิกหรือเป็นอิสระจากความสุขอย่างหยาบๆ นี้ได้ก็ต้องเจอความสุขที่หยาบน้อยกว่า หรือประณีตกว่า เช่น บางคนที่เลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากการทำงาน ความสุขจากการเล่นกีฬา ความสุขจากมิตรภาพ ความสุขจากเพื่อนฝูง หรือความสุขจากสมาธิ บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้นั่งสมาธิแล้วเกิดสุข บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากสิ่งอื่น จากการทำความดี จากการทำสิ่งที่มีประโยชน์ ความสุขจากมิตรภาพ ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อน จากชุมชน มันก็เลิกได้ คือพวกนี้ต้องอาศัยการลงทุนลงแรงด้วย ไม่ใช่ว่าอาศัยความอยากอย่างเดียว อยากอย่างเดียวแต่ว่าไม่ไม่ลงทุนลงแรง ไม่ประกอบเหตุ มันก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากจะเลิก ลด ละบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยเสพเคยติด บางคนอาจจะติดหรือว่าหลงในเงินเพราะว่าเงินเป็นที่มาของกามสุข หลายคนหลงในเงินจนกระทั่งยอมทุจริตเพื่อจะได้มีเงินไปซื้อโน่นซื้อนี่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีความสุขจากสิ่งอื่นมาแทนที่ มันก็ยังวนเวียนอยู่กับการทุจริตอยู่นั้นแหละ ต่อเมื่อพบว่าความสุขบางอย่างที่มันดีกว่าเงิน ดีกว่าสิ่งเสพ จึงจะเป็นอิสระได้ เพียงแค่จะอดใจ ไม่ข้องเกี่ยว มันจะอดได้ไม่นาน เหมือนกับอดเหล้า อดเหล้าอดได้ไม่นานจนกว่าจะเจอความสุขอย่างอื่นที่มันดีกว่าถึงจะเลิกได้ เพราะจิตไม่โหยหาอีกแล้ว
Tue, 19 Dec 2023 - 28min - 846 - 25661018pm--สกัดตัวตนให้เบาบาง
18 ต.ค. 66 - สกัดตัวตนให้เบาบาง : อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับการสลักเสลาสกัดเอาสิ่งที่มันไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะถ้าเราไม่ทำ ไม่สลัดหรือละวางความยึดมั่นถือมั่น อย่าว่าแต่ความยึดมั่นในตัวกูของกูเลยที่เป็นอัตตวาทุปาทาน แม้กระทั่งความยึดมั่นในทรัพย์ ความยึดมั่นในสิ่งของต่างๆ ถึงเวลาตายมันทรมานมาก เพราะมันยอมรับความสูญเสีย มันยอมรับการที่ต้องจากพรากสิ่งเหล่านั้นไปไม่ได้ และอย่างน้อยถ้าเราได้ตระหนักว่า เมื่อถึงวันที่เราต้องตาย เราต้องหมดตัวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง ฝึกสละตั้งแต่ตอนนี้ แต่ที่จริงถ้าหากว่าทำตั้งแต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ว่าจะไปมีความสงบในเวลาสุดท้าย แต่ว่าทำตอนนี้ก็พบกับความสงบ ความโปร่งเบาในเวลานี้ ไม่ต้องไปรอถึงตอนที่จะหมดลม แต่ว่าความสงบตอนที่จะหมดลม มันก็เป็นหลักประกัน มันเป็นสิ่งที่แน่นอนถ้าหากเรารู้จักสลัด รู้จักวางสิ่งต่างๆ ออกไปจากใจให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าชีวิตที่พึงปรารถนา คือชีวิตที่เป็นอุดมคติในพุทธศาสนา คือชีวิตที่มีให้น้อย ปล่อยวางให้มาก สลัดออกไปจากใจให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติอยู่ ว่าเราปฏิบัติไปแล้วความโลภน้อยลงไหม ความเห็นแก่ตัวน้อยลงไหม ความโกรธน้อยลงไหม ความยึดมั่นถือมั่นในหน้าตา ในทรัพย์สมบัติน้อยลงหรือเปล่า หรือพูดอย่างถึงที่สุดคือว่าความยึดมั่นในตัวกูน้อยลงไหม ถ้าไม่น้อยลง ถึงแม้จะเข้าวัดบ่อย ทำบุญมาก มันก็ยังไม่เรียกว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แล้วก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเข้าถึงชีวิตที่พึงปรารถนาในทัศนะของชาวพุทธ
Mon, 18 Dec 2023 - 29min - 845 - 25661017pm--เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว
17 ต.ค. 66 - เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว : ไม่ใช่ว่าดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ ทำสิ่งตรงข้ามกับความถูกความเหมาะความควร รวมทั้งเมื่อถึงเวลาสูญเสียพลัดพรากก็ทำใจได้ ไม่ใช่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น รู้ทั้งร้อยรู้เต็มที่เลย แต่พอสูญเสียแม้จะเล็กน้อย เช่นเงินหายไม่กี่ร้อยก็โมโหเสียดาย อันนี้เรียกว่าเป็นพุทธที่หัว แต่ว่าไม่ได้เป็นพุทธที่ใจ คือทำใจไม่ได้ ทั้งที่รู้หมดว่าควรปล่อยควรวาง แต่ว่าทำใจไม่ได้ ถ้าเราฝึกพัฒนาอารมณ์ พัฒนาความรู้สึก เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ใจมันก็พลอยคล้อยตามไปด้วย มีอะไรสูญเสียพลัดพรากมันก็ไม่เสียอกเสียใจปล่อยวางได้ ไม่ปรุงแต่งให้กลายเป็นความโกรธ หรือเป็นความโศกความเศร้า เพราะฉะนั้น เรื่องของการสร้างความสมดุลให้เกิด ระหว่างความคิดและอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นสิ่งจำเป็น อย่าพัฒนาแต่ความคิดหรือว่าอย่าเน้นแต่หัว แต่ให้พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกหรือเน้นเรื่องใจด้วย เพื่อให้มันสมดุลกัน
Sun, 17 Dec 2023 - 28min - 844 - 25661016pm--อย่าให้มานะครองใจ
16 ต.ค. 66 - อย่าให้มานะครองใจ : เราก็ต้องพยายามรู้เท่าทัน เวลาอัตตาหรือมานะ มันบงการจิตใจของเรา อยากให้เราโชว์ อยากให้เราอวด เราก็อย่าไปหลงเชื่อทำตาม ต้องขัดขืนมันบ้าง ที่จริงการที่มีอัตตาฟูฟ่องบ้างมันก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าอัตตาติดลบมันก็แย่ แต่ถ้าปล่อยให้อัตตาครองใจมากไป มันก็จะกลายมามีอำนาจเหนือเรา เราก็จะพลอยแย่ไปด้วยเพราะว่าเราต้องคอยเลี้ยงมัน มันเหมือนกับว่ามีปีศาจที่ต้องคอยปรนเปรอมันอยู่เสมอ ถ้าไม่ปรนเปรอมันด้วยการตามใจอัตตา ตามใจกิเลส มันก็จะอาละวาดโวยวาย แต่ถ้าปล่อยให้มันครองใจ บงการชีวิตเรา สุดท้ายเราก็ไม่เป็นผู้เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทางที่ดี เราก็พยายามระมัดระวัง อย่าให้มันครองจิตครองใจ หรือบงการจิตใจเรามาก รู้เท่าทันและขัดขืนมันบ้าง หัวเราะเยาะใส่มันบ้าง ให้กลับมามีสติ มีความรู้สึกตัว เพราะถ้ามีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวตนหรือตัวกูก็จะมีอำนาจมีอิทธิพลน้อย
Sat, 16 Dec 2023 - 28min - 843 - 25661015pm--ความทุกข์มีประโยชน์
15 ต.ค. 66 - ความทุกข์มีประโยชน์ : คนเราจะมีสติรู้ทันความคิด มีสติรู้ทันความหลงได้ก็ต้องยอมให้มีความคิดความหลงเกิดขึ้น จะรู้ทันความโกรธก็ต้องยอมให้ความโกรธมันเกิดขึ้น แล้วก็เรียนรู้จากความโกรธ เรียนรู้จากความหลง เรียนรู้จากความฟุ้งซ่าน ที่จริงความโกรธความฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าเป็นเพราะเราไม่คิดจะเรียนรู้จากมัน ฉะนั้นคนที่ยิ่งโกรธเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นคนหงุดหงิดเจ้าอารมณ์มากเท่านั้น แต่ถ้าเรารู้จักใช้มันเอามาเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติ ยิ่งมันเกิดขึ้นเราก็ยิ่งเชี่ยวชาญชำนาญในการรู้ทัน แล้วก็รู้ทางของมัน จับทางมันได้ว่ามันจะมาอย่างไร ก็ทำให้มันมีอิทธิพลครองจิตครองใจเราน้อยลง คนเราถ้าไม่เรียนรู้จากอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจในระหว่างปฏิบัติ มันก็สูญเปล่านะ แต่ถ้าเราเรียนรู้จากมัน เราก็จะเกิดปัญญา สติเราก็จะงอกงาม แล้วเราก็สามารถจะเอาสติและปัญญานี้มาใช้ในการใคร่ครวญ เวลามีความทุกข์เกิดขึ้น มันจะไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติในชีวิต แต่มันจะกลับทำให้เราเกิดปัญญา แล้วก็สามารถจะพาจิตพาใจผ่านความทุกข์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้
Fri, 15 Dec 2023 - 26min - 842 - 25661014pm--กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน
14 ต.ค. 66 - กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน : เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก อันนี้ก็คือไปรู้ทันความคิด รู้ทันหรือรู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น คือมักจะเกิดจากการที่มีอะไรมากระทบ เช่นเสียงมากระทบหูเกิดความไม่พอใจ ลมเย็นมากระทบกายเกิดความยินดี ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่มีการกระทบ หรือมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า รุ้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอสิ่งกระทบ คนเราวันทั้งวันก็มีแค่ 2 อย่าง ถ้าไม่ทำนู่นทำนี่ ก็เจอนั่นเจอนี่ ระหว่างที่ทำถ้าทำด้วยกาย ก็รู้กายเคลื่อนไหว แล้วเมื่อเจอนั่นเจอนี่ เจอคำพูดของคน เจอการกระทำบางอย่างของคนรอบข้าง มีความยินดีบ้าง มีความยินร้ายบ้าง มีความพอใจ มีความไม่พอใจ มันก็รู้ กินอาหารอร่อยเกิดความยินดีก็รู้ อาหารไม่อร่อยเกิดความไม่พอใจก็รู้ อันนี้เรียกว่า รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึก หรือว่ารู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอผัสสะ หรือเจอการกระทบ ถ้าทำได้ 3 ข้อนี้ ก็เรียกว่าเป็นการเจริญสติ สามารถทำได้ทั้งวันและทำได้ทุกที่ แล้วจะทำให้ชีวิตเรา จิตใจเรามีความโปร่งเบามากขึ้น มีความทุกข์ก็สามารถที่จะเห็นว่า ทุกข์มันเกิดจากใจ เกิดจากการยึดติดถือมั่น เกิดจากการปล่อยให้กิเลสมาครองใจ เกิดจากการที่ไปแบกสิ่งต่างๆ เอาไว้ อาจจะเป็นอดีต หรือเรื่องราวอนาคต หรือความคาดหวัง แล้วก็รู้ว่า ที่ทุกข์นี้ก็เพราะใจแท้ๆ หรือทุกข์เพราะหลง พอใจมันไม่หลง พอใจมีสติ มันก็หายทุกข์ ก็เหมือนกับการกินข้าว กินข้าวทำให้หายทุกข์กาย หายหิว ส่วนการเจริญสติก็ทำให้หายทุกข์ใจ ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต
Thu, 14 Dec 2023 - 26min - 841 - 25661013pm--อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด
13 ต.ค. 66 - อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด : ความตายมันทำให้ความทุกข์ที่เคยเจอทั้งมวลนั้น มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย และดังนั้นหลายคนซึ่งโชคดีไม่ตายเพราะมีคนมาช่วย เขามาได้คิดเลยว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่คอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย เพราะว่าตอนนั้นแหล่ะที่ได้เจอกับความตายแบบใกล้ชิดมาก ความตายทำให้คนได้ตระหนัก ว่าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรามีเราเจอ มันเล็กน้อยมาก เพราะไม่มีทุกข์ใดที่มันยิ่งใหญ่กว่าความตาย โดยเฉพาะสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากจะมีชีวิตให้ยืนยาว และหลายคนทั้งที่อยากจะตาย จึงโดดลงมาจากสะพาน แต่ว่าพอได้รับการช่วยชีวิตนั้น กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมากขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะรู้ว่าสิ่งต่างๆที่เคยยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งเกิดความผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ คับแค้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย อย่างนี้เรียกว่าเป็นเพราะโชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ หรือเป็นเพราะมีคนช่วยเอาไว้ แต่หลายคนที่มาได้คิดตอนกำลังจะกระทบพื้นน้ำ แต่ว่าคนช่วยไม่ทัน อันนั้นก็เรียกว่าน่าเสียใจ แต่ว่าคนเราไม่ต้องรอให้เจอความตายใกล้ตัว ไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าพบอุบัติเหตุ ถ้าเรานึกถึงความตายเป็น ก็จะช่วยทำให้เราได้คิดว่าเราทำอะไรที่ควรทำ และเมื่อถึงเวลา เราจะได้ไม่มีความรู้สึกผิดกับชีวิตที่ผ่านมา
Wed, 13 Dec 2023 - 30min - 840 - 25661012pm--อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส
12 ต.ค. 66 - อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส : เหตุผลมันสามารถจะใช้ไปในทางที่ส่งเสริมคุณธรรม ความดีก็ได้ หรือใช้ไปในทางที่ส่งเสริมกิเลส หรือทำความชั่วก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่รู้ทันกิเลส เราก็จะเชื่อเหตุผลของมัน ก็เหมือนกับคนที่มีเหตุผลในการทุจริตคอรัปชั่น เหตุผลดีทั้งนั้นแหละ แต่หลายคนก็มีเหตุผลที่ทำให้ไม่ทำการทุจริต เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุผล จริงๆ แล้วมันอยู่ที่การรู้จักใช้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นข้ออ้างในการทำชั่วก็ได้ หรือสนองกิเลสก็ได้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นแรงกระตุ้น ให้ทำความเพียรก็ได้ อย่างเช่นเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต ไม่ใช่ว่าคนไม่รู้นะว่าในที่สุดเราก็ต้องตาย แต่บางคนหรือจำนวนมากเอามาเป็นข้ออ้างว่าในเมื่อฉันจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นฉันขอสนุกสนานให้เต็มที่ ขณะที่บางคนเห็นว่าชีวิตมันสั้น ระลึกถึงความตายเสมอ ก็เอามาใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล คนทุกวันนี้ มีความฉลาดในการคิด เพราะฉะนั้นจะมีความสามารถในการคิดหาเหตุผล เราก็ต้องรู้จักจำแนกแยกแยะ ให้ได้ว่าเหตุผลที่มันเกิดขึ้นมาในหัว มันเป็นเหตุผลของกิเลส หรือเป็นเหตุผลของคุณธรรม คนที่มีธรรมะก็จะใช้เหตุผลเพื่อส่งเสริมคุณธรรม เพื่อรับมือกับคำต่อว่าด่าทอ ด้วยใจที่สงบไม่โกรธ เจอปัญหาก็ไม่วิตกกังวล เพราะรู้ว่าถ้ามันแก้ได้ จะกังวลไปทำไม แล้วถ้ามันแก้ไม่ได้ กังวลไปแล้วมีประโยชน์อะไร แต่คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทันกิเลส หรือตกอยู่ในความหลง มันก็จะหลงเชื่อเหตุผลอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้ทุกข์หนักขึ้น หรือไม่ก็แย่กว่านั้น คือเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว หรืออาจจะทำให้พาชีวิตตกต่ำย่ำแย่ เช่นปัญหามันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปกินเหล้าย้อมใจดีกว่า ไปหาอบายมุขดีกว่า จะได้ลืมๆ จะได้ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร จะได้ไม่ทุกข์ ไม่เครียด ไม่กลุ้ม ก็ว่าไปทางโน่นเลย แต่ถ้าเราใช้เหตุผลได้ถูกต้อง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องวิตกกังวล เพราะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
Mon, 11 Dec 2023 - 26min - 839 - 25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ
11 ต.ค. 66 - อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่ ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
Sun, 10 Dec 2023 - 27min - 838 - 25661010pm--อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง
10 ต.ค. 66 - อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง : การปฏิบัติแบบนี้ “อย่าไปกลัวหลง” บางคนกลัวหลงมาก ก็เลยพยายามไปบังคับจิต ไปจ้องดูจิต เหมือนกับถ้าเราจะขี่จักรยาน ขี่ไม่เป็น จะฝึกขี่อย่ากลัวล้ม ถ้ากลัวล้ม มันจะขี่ไม่เป็น บางคนกลัวล้ม ต้องเอาล้อ 2 ล้อมายันไว้ที่ล้อหลังจะได้ไม่ล้ม มันไม่ล้มก็จริงแต่ว่ามันขี่ไม่เป็น ถอด 2 ล้อเล็กออกเมื่อไหร่ก็ล้มเมื่อนั้น จะขี่จักรยานเป็นมันก็ต้องไม่กลัวล้ม เหมือนกับคนที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นต้องไม่กลัวผิด คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีแต่พูดไม่ได้เลย แอนดรูว์ บิ๊กส์ เป็นฝรั่งสอนภาษาอังกฤษ เขาตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษไม่ก้าวหน้าเลย เพราะกลัวผิดจึงไม่กล้าพูด กลัวผิด Grammar กลัวผิด Tense เลยไม่กล้าพูด พอไม่กล้าพูดก็เลยพูดไม่เป็น ขณะที่บางคนเขาไม่กลัวผิด ไม่มีหน้าจะต้องรักษา ไม่กลัวเสียเซลฟ์ (self) พูดตะบันไปเลย คนแบบนี้ที่กล้าพูดโดยไม่กลัวผิดจะเรียนภาษาอังกฤษได้เร็ว ที่จริงแอนดรูว์ บิ๊กส์ เขาพูดภาษาไทยได้คล่องเพราะเขาไม่กลัวผิด พูดเรื่อยเปื่อย ผิดก็มีคนแก้ เอาผิดเป็นครู ก็เลยพูดภาษาไทยได้เร็วและสำเนียงก็ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราปฏิบัติแล้วเรากลัวหลง เราก็จะปฏิบัติได้ช้า เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวหลง บางคนกลัวหลง ก็จะต้องหาทางเพ่ง เอาจิตไปเพ่งที่เท้า เอาจิตไปเพ่งที่มือ มันจะได้ไม่หลง มันจะได้ไม่ฟุ้ง บางทีไม่พอมีคำบริกรรมอีก มีการนับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกลัวหลง กลัวฟุ้ง มันเหมือนกับเวลาจะข้ามท้องร่อง สมัยก่อนข้ามท้องร่องในสวน เขาใช้ไม้ไผ่แค่ลำเดียว บางคนกลัวตก ต้องมีราวเอาไว้จับ ถ้าไม่มีราวจับมีแต่ลำไม้ไผ่ล้วนๆ ไม่กล้าเดินเพราะกลัวตก การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนเปรียบเหมือนกับการข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว ใหม่ๆ พอข้ามไม่ทันถึงท้องร่อง ยังข้ามไม่ทันถึง ก็ตกเสียแล้ว แต่ถ้าไม่ท้อขึ้นมาใหม่ เดินข้ามอีก แล้วก็ตกอีก ก็ไม่เป็นไร เดินข้ามบ่อยๆ เดี๋ยวก็ข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว การปฏิบัตินี้ บางคนหวังพึ่งราวก็คือคำบริกรรม คือการเพ่ง คือการนับ ต้องมีราวเพื่ออะไร เพื่อจะได้ไม่ตก แต่ถ้าเราไม่กลัวตก เดินไปเลย มันจะตกก็ช่างมัน ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ สุดท้ายก็เดินข้ามท้องร่องลำไม้ไผ่โดยที่ไม่ต้องมีราวได้ มันเป็นความชำนาญ ที่เกิดจากชั่วโมงบิน เกิดจากการทำบ่อยๆ เหมือนขี่จักรยาน ถ้าไม่กลัวล้ม สุดท้ายก็ขี่ได้คล่อง แต่ถ้ากลัวล้ม ต้องมีคนประคอง ต้องมีล้อ 2 ล้อมาคอยยันไว้ที่ล้อหลัง ไม่ล้มก็จริงแต่ว่าขี่ไม่เป็นหรือขี่ได้ช้า ฉะนั้นการปฏิบัติแบบนี้อย่าไปกลัวหลง อย่าไปกลัวฟุ้ง อนุญาตหรือให้โอกาสสติได้ทำงานแล้วก็จะมีสติรู้ทัน แล้วเกิดความรู้สึกตัวได้เร็ว เร็วแบบชนิดที่เรียกว่าไม่ทันตั้งตัวเลย อย่างไม่คาดคิด
Sat, 09 Dec 2023 - 27min - 837 - 25661009pm--ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล
9 ต.ค. 66 - ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล : การทำงานแบบปล่อยวาง มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพ้อฝัน มันเป็นเรื่องที่ทำได้และควรทำด้วย เพราะส่วนมากคือต้องเข้าใจด้วยว่าการปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ปล่อยวางคืออย่างน้อยก็ปล่อยวางผลที่มุ่งหวัง ปล่อยวางความสำเร็จที่อยากได้ หรือปล่อยวางความสงบหรือว่าสติความรู้สึกตัวที่อยากจะทำให้เกิดมีขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี ประกอบเหตุให้เต็มที่ นี่คือสิ่งที่เราควรทำในขณะที่เรามาปฏิบัติธรรมที่นี่ วางผลเอาไว้ก่อน ผลที่คาดหวัง อย่าให้ความต้องการหรือความปรารถนา ความคาดหวังในผล มารบกวนการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นก็จะเครียด ถ้าเรารู้จักการปล่อยผล ต่อไปเราก็จะปล่อยวางอื่นได้ ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ ความปวด ความเมื่อย มันก็จะวางได้มากขึ้น ทำงานก็ให้กายทำไป ใจก็เพียงแต่รับรู้ว่ากายกำลังทำอะไร แต่ใจไม่ได้แบกอะไรเลยสักอย่าง ก็จะทำให้การทำงานนี้นอกจากคนทำไม่ทุกข์แล้ว บางทียังจะมีความสนุกหรือมีความสุขกับงาน และงานก็ทำได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
Fri, 08 Dec 2023 - 24min - 836 - 25661008pm--อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน
8 ต.ค. 66 - อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน : ใหม่ๆ สติมันงุ่มง่าม กว่าจะตามหาจิตเจอ หลงเข้าไปในป่าในความคิด แต่ว่าพอทำบ่อยๆ มันจะไวมากในการตามหาใจหรือหาจิตจนเจอ หลุดจากความคิด หลุดจากป่าหรือว่าเขาวงกตแห่งความคิด เข้ามาสู่ความรู้สึกตัว กลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้ไวขึ้น เราก็ต้องมีความอดทน ไม่เร่งรีบ ถ้าอยากให้สติทำงานได้เร็ว รู้สึกตัวได้ไว มันมีวิธีเดียวคือทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ ทำซ้ำๆ จึงบอกว่าสำหรับผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะผู้ฝึกใหม่ต้องเอาปริมาณไว้ก่อน เอาปริมาณเป็นหลัก แล้วคุณภาพจะตามมา สิ่งที่จะช่วยให้เราทำอย่างนี้ได้ก็คือ ลดความคาดหวัง ลดความอยากลง ทำโดยไม่มีความอยากให้เกิดความสำเร็จไวๆ เช่นให้จิตมาสงบเร็วๆ ให้มีความรู้สึกตัวไวๆ ลดความคาดหวัง แม้ว่าจะไม่ได้หวังความสงบ ความรู้สึกตัว แต่ว่าความรู้สึกตัวบางครั้งมันก็ขึ้น บางครั้งมันก็ลง บางครั้งก็ต่อเนื่อง บางครั้งก็สั้น มันจะเป็นยังไงหน้าที่ของเราคือแค่รู้ รู้เฉยๆ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็เปลี่ยนให้เป็นรู้ให้หมด” มันจะง่ายถ้าหากว่าเราเตือนใจของเราอยู่เสมอว่า อะไรเกิดขึ้นกับใจก็แค่รู้เฉยๆ อะไรเกิดขึ้นกับกายก็รู้เฉยๆ เกิดขึ้นกับกาย เช่นปวดเมื่อยหรือว่าสบายก็แค่รู้ ไม่มีการผลักไสและก็ไม่มีการไหลตาม
Thu, 07 Dec 2023 - 26min - 835 - 25661005pm--ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง
5 ต.ค. 66 - ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง : พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนันทิยะนะว่า อารมณ์ที่น่าพอใจ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เมื่อใดที่มันเกิดขึ้นก็ให้วางไว้ วางไว้ตรงนั้นแหละ อย่านำไปเก็บไปแบกเอาไว้ เช่นเดียวกันเมื่อเจอคำนินทาว่าร้าย หรือว่าลมปากของผู้คน มันก็จะไม่ทำให้ใจสั่นสะเทือน เพราะว่าพอมันเข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวา ไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหวใจกระเพื่อมแต่อย่างใด คำชมก็เหมือนกันนะ คำชมก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าถ้าเขาว่าเราก็ปล่อยวาง แต่พอเขาชมก็เก็บมาคลอเคลีย ซึ่งก็ไม่ใช่ ก็ให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน มีความดีใจก็รู้ มีความยินดีก็รู้แล้วก็วาง ถ้าไม่วางถึงเวลาที่เสียใจก็จะยึดก็จะแบก ถ้าไม่รู้จักวางถึงเวลาที่เกิดความยินร้ายมันก็ยึดก็แบกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตาม ก็วางทั้งนั้น มันมาเพื่อให้เราเห็นเฉยๆ เห็นแล้วก็วาง และนี่ก็คือวิธีของการปฏิบัติของการประพฤติธรรมที่เราควรจะใส่ใจ
Wed, 06 Dec 2023 - 27min - 834 - 25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ
11 ต.ค. 66- อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่ ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
Tue, 05 Dec 2023 - 27min - 833 - 25661004pm--ลดตัวตนให้เบาบาง
4 ต.ค. 66 - ลดตัวตนให้เบาบาง : ถ้าเราลดตัวตนได้มากเท่าไหร่หรือว่าลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้มากเท่าไหร่ ถึงเวลาที่มีความทุกข์ มันก็ทุกข์น้อย เวลามีใครมาตำหนิต่อว่าก็จะทุกข์น้อย ยิ่งไม่มีตัวตนเลยยิ่งไม่ทุกข์เลยนะ มันเหมือนกับกระจก ถ้าถูกก้อนหินตกลงมากระแทกก็แตก แต่ถ้ามีไม่มีกระจกเลย ก้อนหินตกลงมามันก็ไม่มีอะไรแตก ถ้าเป็นคนก็ไม่เจ็บ คนที่ไม่มีตัวตน มีอะไรมากระทบก็ไม่กระเทือน อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ บทมงคลสูตร ผู้ที่ฝึกจิตไว้ดีแล้ว จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส มีตัวตนน้อย หรือว่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนน้อยมาก พอถึงเวลาปวด เวลาเจ็บ มันก็มีแต่ความเจ็บความปวด ไม่มีผู้ปวด ถ้ามีตัวตนเมื่อไหร่มันก็มีความเป็นผู้ปวด ผู้เจ็บ ผู้สูญเสีย ผู้โกรธ แต่ถ้ามีตัวตนน้อย มีความโกรธแต่ไม่มีผู้โกรธ มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ถึงเวลาตายก็มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย มันจะช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะเลย แต่ถ้ามีตัวตนหนาแน่นเมื่อไหร่ เวลามีความปวด ก็ไม่ได้มีแต่แค่ความปวด มีผู้ปวดด้วย และปวดมากด้วย เวลามีความโกรธก็มีผู้โกรธ โกรธมากด้วย เวลามีความทุกข์ ไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว มีผู้ทุกข์ ทุกข์มากด้วย มาช่วยกันลดตัวตน ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วก็สวนทางกับความปรารถนาที่จะมีตัวมีตนเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รู้จัก แม้ว่ามันจะรู้สึกอัดอั้นตันใจเวลาทำดีแล้วอยากจะอวด แต่ถ้าเราลองหักห้ามใจไม่อวด ไม่ให้อาหารกับกิเลส อัตตา หรือมานะ ต่อไปมันก็จะมีจิตใจที่เบาบาง แล้วทุกข์น้อยลง
Tue, 05 Dec 2023 - 29min - 832 - 25661003pm--ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว
3 ต.ค. 66 - ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว : ความดีใจนี่ถ้าเราปล่อยใจหรือจมไปกับมัน มันไม่ใช่ดีนะ มันไม่ใช่แค่ทำให้เราลืมเนื้อลืมตัว หรือไม่รู้สึกตัว ตัวอย่างที่พูดไปสักครู่มันยังทำให้ถึงเวลาที่เราเสียใจ เราก็จะจมอยู่ในความเสียใจได้ง่าย ถ้าเพลินอยู่กับความดีใจมันก็จะจมอยู่กับความเสียใจได้ง่าย เหมือนคนที่หัวเราะเสียงดังดีใจ ถึงเวลาเศร้าใจเขาก็จะร้องไห้เสียงดังเหมือนกัน ถ้าไม่อยากจมอยู่กับความทุกข์ความเสียใจก็อย่าไปเพลิน หรือหลงอยู่กับความดีใจ ฉะนั้นเวลาฝึกดูใจ ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ใช่แค่รู้ทันเฉพาะเวลามีอารมณ์ฝ่ายลบ เช่นความโกรธ ความหงุดหงิด หรือว่าความเครียด แม้กระทั่งอารมณ์ที่เราเรียกว่าอิฏฐารมณ์ น่าพึงพอใจ ก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ให้ตั้งสติ ตั้งการ์ดดู เห็นมันมาแล้วก็ไป เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนว่าให้รู้จักวางใจให้ดี อย่าไปยินดียินร้าย บางคนสงสัย ยินร้ายน่ะเข้าใจแต่ทำไมไม่ต้องยินดีด้วย อยากจะปล่อยใจให้มันยินดีถ้าไม่อยากยินร้ายก็ต้องฝึกให้ไม่ยินดี หรือถึงแม้ยินดีก็รู้ทัน ถ้าไม่อยากเศร้าเวลาสูญเสีย ไม่อยากโกรธเวลาถูกต่อว่า เช่นเดียวกัน เวลาได้ก็อย่าไปดีใจมาก หรือเวลาได้รับคำชมก็อย่าไปเหลิง เพราะเรื่องพวกนี้มันเป็นของคู่กัน ดีใจมากก็เสียใจมาก ดีใจกับเสียใจมันใกล้กันมาก เพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่เที่ยง ใจเรามันก็ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น แม้กระทั่งความดีใจยามสมหวัง ยามได้รับชัยชนะ หรือว่าได้โชคได้ลาภก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ต้องฉลาดในการรู้ทันมัน
Mon, 04 Dec 2023 - 28min - 831 - 25661002pm--อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก
2 ต.ค. 66 - อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก : แม้ว่าเราจะยังไม่มีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งถึงความจริงว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง พูดง่ายๆ คือไม่รู้ความจริง แต่อย่างน้อยถ้ารู้ทันความอยากที่มันเกิดขึ้น มันก็ช่วยได้เยอะ ไม่รู้สัจธรรม ไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังรู้ทันความอยากที่เกิดขึ้น นั่นก็คือมีสตินั่นเอง พอมีสติ มันก็จะเห็นความอยากที่มาบงการจิต และไม่ต้องทำอะไรกับความอยาก แค่รู้เฉยๆ มันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเอง ไม่ต้องไปอยากให้ไม่อยาก ซึ่งมันหนักเข้าไปใหญ่ เราเพียงแค่รู้ความอยาก เห็นความอยากก็พอ พอมันถูกรู้หรือถูกเห็นด้วยสติ มันก็ค่อยๆ จางคลายไป เพราะว่ามันเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้สึกตัว ความหลงนั่นเอง แต่พอมีสติ มีความรู้สึกตัว ความหลงหาย ความอยากก็ดับไป ไม่มีที่ตั้ง เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ขึ้นมา ก่อนที่จะไปจัดการกับอะไรต่ออะไรที่เราคิดว่ามันทำให้เราทุกข์ ลองกลับมาดูว่า เป็นเพราะความอยากของเราหรือเปล่า อย่างอาจารย์คนที่เล่าถึงนั้น เขาคิดว่าลูกชายทำให้ตัวเองทุกข์ เพราะลูกชายไม่ยอมเรียนหมอ แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก ลูกชายไม่ได้ทำให้พ่อทุกข์ แต่ความอยากหรือความคาดหวังของพ่อเองต่างหากที่ทำให้พ่อทุกข์ พอพ่อลดความคาดหวังลง หรือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ มันก็หายทุกข์ แล้วแทนที่จะลดความอยาก แทนที่จะขับไล่ความอยาก ก็เพียงแต่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าอยากในสิ่งที่ไม่มีหรืออยากในสิ่งที่ไม่ได้เป็น แค่ยอมรับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ความทุกข์มันก็ลดลง
Sun, 03 Dec 2023 - 27min - 830 - 25661001pm--ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ
1 ต.ค. 66 - ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ : ความอยากจะเอาชนะ อยากจะเป็นผู้ชนะ มันสนองอัตตาตัวตนเต็มที่ แล้วมันพร้อมที่จะผลักไสให้เราทำชั่วก็ได้ ทำร้ายคนอื่นก็ได้ เพื่อจะเป็นผู้ชนะ หรือถลำเข้าไปในวงจรของอบายมุขเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ แต่มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอมและเป็นชัยชนะที่น่ากลัวมาก สู้ชัยชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชนะตนประเสริฐกว่าชนะผู้อื่นนับร้อยนับพันครั้ง” และ ‘ชนะตน’ ในที่นี้ หมายถึงชนะกิเลสหรืออัตตาด้วย เพราะอัตตามันก็จะพยายามล่อหลอกเราให้สนองหรือปรนเปรอมัน สรรหาเหตุผลมาเพื่อที่จะล่อหลอกให้เราหลง แล้วเวลาที่เราจะชนะกิเลสพวกนี้ได้ มันต้องมีสติมากเลยนะ มีสติที่จะรู้เท่าทันอุบายของตัวอัตตาตัวกิเลสเหล่านี้ มันจะหลอกเรายังไง มันจะบอกว่า “ครั้งเดียวเท่านั้น” หรือ “ครั้งสุดท้ายแล้ว” เราก็ไม่เชื่อนะ ก็เพราะไม่เชื่อนี่แหละนะ จึงทำให้เราเป็นอิสระจากอำนาจของมันได้
Sat, 02 Dec 2023 - 27min - 829 - 25660930pm--ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้
30 ก.ย. 66 - ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้ : บางทีถ้าหากว่าเราหมั่นถามสักหน่อยนะ แทนที่จะถามว่าใคร แต่ถามว่าอะไร เราก็จะเห็นความจริงได้ ความจริงที่จริงแท้ได้มากขึ้น แทนที่จะถามว่าใครเห็นก็ถามว่าอะไรเห็น แทนที่จะถามว่าใครเดินก็อะไรเดิน แทนที่จะถามว่าใครได้ยินก็ถามว่าอะไรได้ยิน ก็อาจจะพบว่ามันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นจิตที่เห็น มันเป็นจิตที่ได้ยิน จึงมีคำว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ วิญญาณคือการรับรู้ของจิตนั่นเอง คนเราไปติดที่คำว่าใครๆๆ มันก็เลยเห็นแต่ความจริงในระดับสมมติสัจจะ พอมองว่าใครก็มีแต่เรากับเขา แต่ถ้ามองว่าอะไร มันก็จะเห็นรูปเห็นนาม แล้วต่อไปก็จะเห็นเป็นขันธ์ 5 แล้วถ้าเรามองอะไร แทนที่จะมองว่าใคร มันก็จะเห็นขันธ์ 5 หรือ รูป นาม กาย ใจ ซึ่งเป็นความจริงแท้ แต่ถ้าเราเอาแต่ถามว่าใครๆๆ มันก็จะเห็นความจริงระดับสมมุติสัจจะ ซึ่งมันก็พาเราไปสู่ความหลงได้ง่าย แต่ในชีวิตจริงเราก็คงหนีไม่พ้นนะที่จะต้องถามว่าใครๆๆ แต่ถ้าถามว่าอะไรบ้างก็ดี โดยเฉพาะถามในลักษณะที่ทำให้สาวไปถึงเหตุ สาวไปถึงปัจจัย อย่างเช่น เวลาเราเห็นอุบัติเหตุ หรือว่าอาชญากรรม แทนที่เราจะถามว่าใครทำ เราถามว่า “อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุเหล่านั้น” ใครฆ่าหรือว่าใครทำ มันอาจจะไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับว่า อะไรที่ทำให้เกิดเหตุเหล่านั้นขึ้น อาจเป็นเพราะยาบ้า เป็นเพราะว่าการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะสังคมทำให้คนหลงผิด เกิดความโลภเกิดความหลง อันนี้ก็ทำให้สาวไปสู่การแก้ปัญหา แล้วก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระโมลิยะที่ถามว่า “ใครเสวยเวทนา” ที่ถามผิดนี่ถามผิด ยังถามไม่ถูก ต้องถามว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สุดท้ายก็จะพบสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ซึ่งใครทุกข์นี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดทุกข์ แล้วสุดท้ายก็จะพบว่า กระบวนการก่อทุกข์ก็คือปฏิจจสมุปบาท สังเกตนะ ปฏิจจสมุปบาทไม่มีคำว่าใครเลย ไม่มีใครเป็นผู้ก่อเหตุ ไม่มีใครเป็นผู้รับผล มันมีแต่อะไร เเละนี่เป็นการมองที่ทำให้เห็นความจริงที่ช่วยพาให้ออกจากทุกข์ได้
Fri, 01 Dec 2023 - 28min - 828 - 25660929pm--ทุกข์มาให้รู้
29 ก.ย. 66 - ทุกข์มาให้รู้ : พอเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ใจมันก็จะหน่าย ไม่อยากจะยึดแล้ว แต่ก่อนเห็นว่าอะไรๆ ก็เป็นสุข มันก็เลยยึด รวมทั้งร่างกายนี้ พอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา แต่พอเห็นว่าเป็นตัวทุกข์ มันก็วาง นี่เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นความจริง พอรู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ จิตมันก็คลาย ไม่ยึดมั่นถือมั่น พอจิตไม่มั่นถือมั่นมันก็พ้นทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” เพราะฉะนั้นการรู้ทุกข์สำคัญนะ เราไม่ได้รู้ด้วยการท่องจำเอา ทีแรกรู้ด้วยสติ ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยเวลามันเกิดทุกข์ที่กาย ก็ไม่ไปยึดว่าฉันทุกข์ เวลามันมีความปวดที่กาย ก็ไม่ยึดมั่นสำคัญว่าฉันปวด เรียกว่าเห็นความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด เวลามีความโศกความเศร้าเกิดขึ้น หรือความโกรธก็เห็นมัน เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว ถ้าเกิดว่าเราหมั่นฝึกรู้ทุกข์บ่อยๆ ด้วยการเอาสติมาดูกายดูใจอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเห็นทุกข์ได้ไวขึ้น และเห็นทุกข์เมื่อไร มันก็ไม่เป็นทุกข์เมื่อนั้น
Thu, 30 Nov 2023 - 29min - 827 - 25660928pm--มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา
28 ก.ย. 66 - มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา : มันมี 2 สิ่งนะที่คนส่วนใหญ่เสียใจ 1 ทำโดยไม่ได้คิด 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำ” ทำโดยไม่คิดก็คือว่าจะทำด้วยอำนาจของกิเลสหรือด้วยอำนาจของราคะหรือโทสะเรียกว่าทำโดยไม่คิดเสร็จแล้วก็มาเสียใจว่าฉันไม่น่าเลย ไม่น่าพลั้งเผลอ รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่าหรือ ประเภทที่ 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำเพราะว่าอาจจะคิดว่าเดี๋ยวก็ทำวันหลังก็แล้วกันผัดผ่อนไปเรื่อยคิดว่ามีเวลาแต่ลืมไปว่าความตาย หรืออย่าว่าแต่ความตายเลย ความเจ็บป่วยไม่รอใคร ถึงแม้ไม่ตายแต่ความเจ็บป่วยก็ทำให้ไอ้สิ่งที่คิดและอยากจะทำสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ฉะนั้นคนเราถ้าหากว่ามาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจหรือเสียดาย ก็ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างหนึ่ง จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ถูกเพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับโชค มันเกี่ยวกับเรื่องของการที่รู้จักวางแผนชีวิตอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ เมื่อเรามาถึง ระยะท้ายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำ ไม่มีความปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่ ถ้าคนเรามาถึงตระหนักตรงนี้หรือมาพบว่าไม่มีความจำเป็นที่จะย้อนเวลากลับไป เพราะที่ทำก็ทำดีที่สุดแล้ว อันนี้ก็ถือว่ามีชีวิตที่น่าภาคภูมิใจซึ่งเราทุกคนนี่ก็สามารถจะทำอย่างนั้นได้ถ้าหากว่าเรารู้จักวางแผนชีวิต แล้วก็มีสติกับการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะให้เวลากับการฝึกฝนปฏิบัติธรรมให้เวลากับจิตกับใจของตัวนอกเหนือจากเรื่องของสุขภาพและก็ครอบครัว
Wed, 29 Nov 2023 - 22min - 826 - 25660927pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา
27 ก.ย. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม
Tue, 28 Nov 2023 - 29min - 825 - 25660926pm--อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา
26 ก.ย. 66 - อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา : อย่างที่ครูบาอาจารย์หรือว่าพระอรหันต์หลายท่านก็ใช้ตัณหาละตัณหา ใช้มานะละมานะ เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรานี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามีท่าทีกับมันอย่างไร เราปฏิบัติกับมันอย่างไร คือรู้สึกกับมันอย่างไร หรือใช้ประโยชน์กับมันได้แค่ไหน หรือปล่อยให้มันเข้ามามีอำนาจครองใจเรา อันนี้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือสิ่งที่เกิดในใจของเรานะ มันก็เหมือนกันหมดนะ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะดีหรือไม่อยู่ที่เรา จะดีหรือร้ายหรือไม่อยู่ที่เรา หรืออยู่ที่การปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติได้ดี ปฏิบัติได้ถูกต้อง ของดีก็ทำให้เกิดประโยชน์ โชคลาภก็ทำให้เกิดประโยชน์ หรือแม้จะเป็นเคราะห์ ความยากลำบาก ความเจ็บป่วย หรือความทุกข์ มันก็กลายเป็นของดีได้นะ ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้มัน และอันนี้แหละคือเคล็ดลับสำคัญนะในการที่คนเราจะเป็นอิสระจากความทุกข์ หรือว่าสามารถที่จะยกจิตยกใจอยู่เหนือสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่ารอบตัวเรา กับชีวิตของเรา หรือว่าในใจของเรา
Mon, 27 Nov 2023 - 27min - 824 - 25660925pm--ความอยากที่ควรรู้ทัน
25 ก.ย. 66 - ความอยากที่ควรรู้ทัน : อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปรู้สึกลบกับมัน ไปโรมรันพันตูกับมัน อยากขับไสไล่ส่งมัน มันยิ่งดื้อด้าน แต่พอเราไม่มีอาการแบบนั้น จะอยู่ก็อยู่ไปฉันไม่ว่าอะไร พอเราวางใจแบบนี้ มันกลับค่อยๆ ล่าถอยไป อารมณ์ความคิดมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติ ลองสอบถามหรือตรวจสอบใคร่ครวญดูว่าลึกๆ ในใจเรามีความรู้สึกอยากจะกำจัดความคิดและอารมณ์ต่างๆ ออกไปจากใจหรือเปล่า ลองใช้สติตรวจสอบ ก็อาจจะพบว่ามันมีความคิดนี้ซุกซ่อนอยู่ ที่มันคอยบงการอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติของเรา ถ้าเห็นก็ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ก็แค่รู้ว่ามันมีอยู่ เพียงแค่มันถูกรู้ถูกเห็น มันก็คลายพิษสงลงแล้ว มันก็จะไม่มาบงการจิตใจของเราต่อไป แม้กระทั่งความอยากที่จะให้สิ่งต่างๆ หายไปหรืออยากจะกำจัดสิ่งต่างๆ ความอยากแบบนี้เราก็ไม่ควรจะอยากกำจัดให้มันหายไปจากใจเหมือนกัน อย่าไปอยากซ้อนอยาก ก็แค่รับรู้มันเฉยๆ แล้วก็รู้ว่ามันเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ล่าถอยไปเอง
Sun, 26 Nov 2023 - 28min - 823 - 25660924pm--ขยันรู้ ขยันดู
24 ก.ย. 66 - ขยันรู้ ขยันดู : ธรรมชาติของคนเราสมัยนี้มันชอบไปบงการบังคับควบคุมจัดการกับอะไรต่ออะไรมากมาย ถึงเวลามาปฏิบัติก็มาพยายามบังคับควบคุมจัดการกับจิต แทนที่จะปล่อยให้จิตเป็นอิสระเป็นธรรมชาติ และหน้าที่ของเราคือให้สติได้มารู้มาเห็น ถ้าหากว่าเราปล่อยให้สติเขาทำงาน ใหม่ๆ อาจจะเงอะงะงุ่มง่าม ช้านะ เหมือนกับสมัยที่เราอยู่ ป.1 ป.2 เวลาท่องสูตรคูณ มันต้องนึกอยู่นาน 5x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน 9x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน แต่พอเราท่องบ่อยๆ หรือทำเลขบ่อยๆ มันออกมาเลยทันที 5x8=40 9x8=72 นั่นเพราะอะไร เพราะทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ แต่ใหม่ๆ มันงุ่มง่ามอยู่แล้ว มันจะนึกคำตอบนี่ช้ามาก เหมือนกับสติของเรา จะให้มันรู้มันเห็นความคิดและอารมณ์ใหม่ๆ มันช้า แต่เราอย่าใจร้อน เราให้โอกาสเขา เพราะว่าเรื่องนี้มันต้องให้สติรู้เองเห็นเอง อย่าไปทำแทนสติ ต้องเปิดโอกาสให้สติได้ทำงาน สติก็จะเติบโต เมื่อสติเติบโตแล้วก็จะทำงานแทนเรา เวลาเผลอก็เผลอไม่นาน สติมาบอกเลยนะว่าตอนนี้กำลังฟุ้งแล้ว มันรู้ทัน มันเห็นความคิดและอารมณ์ได้ทันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย หลักการเจริญสติที่นี่ไม่มีอะไรมาก ขยันรู้อย่างเดียวเลย รู้ตะพึดตะพือ อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็รู้อย่างเดียว ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง
Sat, 25 Nov 2023 - 29min - 822 - 25660923pm--ทำบุญอย่าทิ้งธรรม
23 ก.ย. 66 - ทำบุญอย่าทิ้งธรรม : ธรรมะสามารถจะเข้าสู่ใจเราได้ ประการแรกด้วยการฟัง เรียกว่าสุตมยปัญญา การฟังแต่ฟังแล้วไม่พอจะต้องใคร่ครวญด้วย ใคร่ครวญจากประสบการณ์ของผู้คนมากมายที่เคยรุ่งแล้วก็ร่วง หรือว่าเคยสำเร็จแต่แล้วก็ล้มเหลว ชีวิตเคยขึ้นแต่แล้วก็ลง ถ้าเราคอยใคร่ครวญ แบบนี้เรียกว่าจินตามยปัญญา หรือที่ดียิ่งกว่านั้นคือภาวนามยปัญญา คือปฏิบัติธรรม อันนี้ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับชาวพุทธจำนวนมาก จะให้มาทำบุญน่ะได้ แต่จะให้มาปฏิบัติธรรมน่ะฉันไม่เอา มักจะพูดว่าฉันยังไม่ทุกข์จะปฏิบัติธรรมไปทำไม รอให้แก่ก่อน แต่ถึงเวลาแก่ก็เลี่ยงไปเรื่อยๆ ภาวนามยปัญญาคือการเจริญสติ การทำสมาธิ การทำกรรมฐาน เป็นหนทางแห่งการเปิดใจให้เข้าถึงธรรม อนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าได้แต่เรียนรู้ผ่านการฟังเท่านั้นมันไม่ซาบซึ้งถึงใจนะ ถึงเวลาเกิดเหตุก็ลืม ลืมไปเลยนะเพราะว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา แต่ถ้าเราภาวนาจนเห็นรูปเห็นนาม โดยเฉพาะความคิดอารมณ์ที่มันไม่เที่ยง มันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ก็จะเข้าใจซาบซึ้ง พอเข้าใจไตรลักษณ์แล้ว มันจะไม่ลืมหรือลืมยาก ถึงเวลาเกิดความผันผวนแปรปรวนขึ้นมาในชีวิต ก็ทำใจได้ ยอมรับได้ ไม่บ่นโวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่คร่ำครวญ เพราะรู้จักใคร่ครวญจากประสบการณ์ทั้งจากการปฏิบัติธรรม และจากการดำเนินชีวิต ที่สำคัญคือทำให้มีธรรมะรักษาใจ ได้แก่ สติ สมาธิ ปัญญา อันนี้เป็นของที่ประเสริฐกว่าบุญที่เราเข้าใจเสียอีก เพราะฉะนั้น อย่าคิดแต่จะเอาบุญนะ แต่ว่าให้เปิดใจรับฟังธรรมะด้วย ถ้าเอาบุญแต่ว่าเมินธรรมะ ก็ถือว่าชีวิตยังมีความเสี่ยง ทำบุญน่ะดีแล้ว แต่ว่าต้องอย่าลืมธรรมะด้วย
Fri, 24 Nov 2023 - 28min - 821 - 25660922pm--ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้
22 ก.ย. 66 - ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ : ความอยากนี้แปลกนะ ยิ่งอยากเท่าไหร่ยิ่งได้ผลตรงข้าม อยากเลิกเหล้ากลับกินเหล้าหนักขึ้น อยากหายป่วยกลับป่วยหนักขึ้น อยากให้มันสงบมันกลับจะฟุ้งหรือเครียดหนักขึ้น ฉะนั้นเวลาปฏิบัติต้องกลับมาดูนะ มาตรวจสอบดูว่ามันมีความอยากไหม ถ้าเห็นความอยากอย่าไปกดข่มมัน ให้รู้สึกเป็นกลางกับมัน แค่รู้เฉยๆ มันก็มากพอที่จะทำให้มันไม่สามารถบงการจิตใจได้ อย่าประเภทว่า จะอยากให้ไม่อยากนะ ถ้าอยากให้ไม่อยาก มันจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ก็แค่ดูมันเฉยๆ รู้ทันมันเฉยๆ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแต่ไม่ไหลตามมัน เรียกว่ารู้ซื่อๆ มันก็จะไม่มาบงการจิตใจเรา ทำให้เกิดความเพี้ยนหรือว่าเกิดอาการเหวี่ยงวีน
Thu, 23 Nov 2023 - 26min - 820 - 25660921pm--ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง
21 ก.ย. 66 - ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง : คำว่าทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส ก็คือการทำกิจแล้วก็ทำจิต ทำเต็มที่คือขยันหมั่นเพียร ใส่ใจพิจารณาว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่ขณะเดียวกันใจก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลสำเร็จ ใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปชะเง้อมองอนาคตหรือผลที่มุ่งหวัง เพราะถ้าทำไปแต่ใจไปอยู่กับผลสำเร็จ หรือผลที่คาดหวัง มันทุกข์นะ แม้แต่เพียงแค่เดินทางไปเที่ยวหลายคนก็ทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปนึกแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึง ทั้งที่ไปเที่ยวแท้ๆ แต่ใจทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปอยู่ที่เป้าหมาย พอใจอยู่ที่เป้าหมายนั้นก็จะมีความรู้สึกว่าเมื่อไรจะถึง สักที ทำดีหรือทำอะไรเพื่อส่วนรวม หรือแม้กระทั่งทำการงานส่วนตัว หากว่าจิตมันไปอยู่ที่เป้าหมายอยูที่ความสำเร็จ มันก็จะทุกข์นะว่าเมื่อไหร่จะถึง แต่พอถอนจิตออกจากเป้าหมายที่มุงหวัง มาอยู่กับปัจจุบัน ก็ทำได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์เรียกว่าทำได้เต็มที่แต่ไม่ซีเรียส จะเรียกว่าทำด้วยจิตปล่อยวางก็ได้ หรือทำด้วยใจที่อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และควรทำด้วย และนี่คือสิ่งที่ตรงกับคำสอนของพุทธศาสนาที่ท่านสอนให้ทำกิจแล้วก็ทำจิตไปพร้อมๆ กัน
Wed, 22 Nov 2023 - 29min - 819 - 25660920pm--ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา
20 ก.ย. 66 - ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา : เราต้องรู้จักแยกแยะนะ ใครทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นปัญหาของเรา หรืออย่าเอามาเป็นเครื่องกีดขวางการทำความดีของเรา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อแม่ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ว่าเขาจะทำดีหรือไม่ มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนหน้าที่ของเราคือทำความดีเท่าที่เราจะทำได้ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ใครทำคนนั้นก็ได้ เราไม่ควรจะทำดีเพียงเพราะว่าจะมีคนชื่นชมสรรเสริญ หรือเพียงเพราะว่าทำแล้วเขาจะเห็นความดีของเรา หรือทำแล้วเขาจะสำนึกในบุญคุณของเรา ถ้าเราทำดีโดยมีเงื่อนไข มันก็ไม่ใช่การทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเราทำดีโดยที่ไม่สนว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร หรือไม่สนแม้กระทั่งว่าคนที่เราทำเขาจะมีกิริยาหรือพฤติกรรมอย่างไร ตราบใดสิ่งที่เราทำมันเป็นความดี แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ทำไปเถอะ แล้วอย่าทำให้พฤติกรรมของเขา มาเป็นเครื่องกีดขวางการทำดีของเรา พูดง่ายๆ คือว่า เขาทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเราไม่สน เรายังทำดีต่อไปเรื่อยๆ
Tue, 21 Nov 2023 - 27min - 818 - 25660919pm--รักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง
19 ก.ย. 66 - รักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง : ที่ใจเป็นกลางได้เพราะอะไร เพราะว่ามีสติ สติจึงเป็นเหมือนกับยามที่รักษาใจไม่ให้ศัตรู หรืออารมณ์อกุศล และความทุกข์เข้ามาครอบงำทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าไม่ไปโรมรันพันตู ผลักไสอารมณ์พวกนี้ มันก็ไม่มีอำนาจเหนือใจเรา ฉะนั้น การวางใจเป็นกลางต่ออารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ภายนอก คือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรืออารมณ์ภายในที่เรียกว่าธรรมารมณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีสติ มีความรู้สึกตัว สติ ความรู้สึกตัวทำให้การรักษาใจให้เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆ รวมทั้งให้อยู่ตรงกลางๆ ระหว่างนอกกับใน มันถึงเป็นไปได้ และช่วยทำให้ใจอยู่บนทางสายกลางได้ ไม่เผลอ แล้วก็ไม่เพ่ง ไม่ไหลไปตามกิเลส แล้วก็ไม่ไปต่อสู้ผลักไสกิเลส เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลยนะ มันเชื่อมโยงกัน โดยมีสติ ความรู้สึกตัวเป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้น การเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญมากนะสำหรับการที่จะช่วยทำให้ใจเราอยู่บนทางสายกลาง ถ้าใจคนเราอยู่บนทางสายกลางแล้ว การมีชีวิตที่ดำเนินบนทางสายกลางก็เกิดขึ้นได้ง่าย และก็เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นการเจริญสติจึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง
Mon, 20 Nov 2023 - 25min - 817 - 25660918pm--ขัดใจให้ใสสะอาด
19 ก.ย. 66 - ขัดใจให้ใสสะอาด : ขัดใจมันมี 2 ความหมายนะ ขัดใจที่เรามักจะได้ยินก็คือ ขัดใจแล้วมันก็เกิดความขุ่นมัว เกิดความหงุดหงิด อย่างแบบนี้เป็นทุกข์ เป็นโทษ แต่มันสามารถจะเอามาขัดใจเราให้ใสสะอาดได้ อย่างหลวงพ่อพุธเป็นตัวอย่าง เจอเด็กพูดจาหยาบคายแบบนั้น ในช่วงหนึ่งมันก็ขัดใจ เป็นสิ่งขัดใจท่าน ทำให้ท่านขุ่นมัว แต่ท่านก็เอามาใช้ขัดใจให้ใสสะอาด ด้วยการเอามาเป็นเครื่องฝึกใจ เตือนใจ ให้เห็นว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องจัดการอยู่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่ขัดใจเราให้ขุ่นเคืองมันเป็นตัวกระตุ้นให้เราเห็นกิเลสที่บางครั้งก็ซุกซ่อนอยู่ การที่กิเลสผุดขึ้นมา เช่น ความโกรธ ความเกลียด มันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ ถ้าเรามองว่ามันคือการบ้านที่จะใช้ในการจัดการ เราจะไม่สามารถขัดใจให้สะอาดได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าใจมันหม่นหมอง ใจมันสกปรก บางคนไปคิดว่าใจของเราสะอาดผ่องแผ้ว ทั้งๆ ที่กิเลสก็เคลือบหนาเลย แต่พอเจอเหตุการณ์บางอย่างกระทบแล้วทำให้กิเลสมันชูคอ มันปรากฏตัวขึ้นมา ข้อดีก็คือเราได้รู้ว่าเรายังมีการบ้านที่ต้องทำ กิเลสมันก็ฉลาดนะ บางทีมันก็ซุกซ่อนได้อย่างแนบเนียนมาก จนกระทั่งคนบางคนคิดว่าตัวเองปฏิบัติดีแล้ว บางทีคิดว่าตัวเองหลุดพ้นแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีอะไรกระทบแล้วทำให้กิเลสมันโผล่ขึ้นมา มันก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังเป็นปุถุชน หรือว่ายังมีการบ้านที่ต้องจัดการ เห็นจิตของตัวเอง มีความหม่นหมองที่จะต้องขัดให้มันใสสะอาด
Sun, 19 Nov 2023 - 25min - 816 - 25660917pm--อย่าหลงเชื่อลูกไม้ของกิเลส
17 ก.ย. 66 - อย่าหลงเชื่อลูกไม้ของกิเลส : การที่เราเห็นความไม่ดี หรือกิเลสในใจ ก็เป็นเรื่องดีนะ แต่ถ้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา จนเกิดความเข้าใจว่าเราเลว เราแย่ แสดงว่ายังดูไม่ถูก ยังมองไม่เป็น แต่ที่แย่คือมองไม่เห็นเลยนะ เห็นแต่ความดี เห็นแต่ความประเสริฐของเรา ไม่ใช่เห็นแค่ความดีเฉย ๆ แต่เห็นว่าเป็นเราด้วย ก็เลยเกิดการพอกพูนอัตตาหนาแน่นมากขึ้น เวลาทำอะไรผิดพลาด เวลาทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัวก็มีข้ออ้าง กิเลสมันสรรหาเหตุผลข้ออ้างให้เราเชื่อว่า เราดี มันเป็นกลไกปกป้องอัตตา เป็นกลไกปกป้องกิเลสแบบหนึ่งที่เราต้องระมัดระวัง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามองตนจริง ๆ มันก็จะไม่ใช่ว่าไปหลงใหลหลงปลื้มในตัวเอง แต่จะมีท่าทีของการวิจารณ์ซึ่งช่วยทำให้เราได้รู้เท่าทันกิเลสมากขึ้น ยิ่งเห็นความโกรธ ยิ่งเห็นความโลภก็ยิ่งดี ทำให้รู้ว่าจะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร อย่างเช่นที่หลวงพ่อเทียนตอนที่ท่านเห็นความโกรธที่เกิดจากการทักท้วงของภรรยา มันทำให้ท่านเห็นเลยนะว่า ที่เราทำบุญ รักษาศีล มันยังไม่พอ เพราะทำแล้วยังมีความโกรธอยู่ อย่างนี้ต้องไปภาวนาให้หนัก แล้วก็ทำให้ท่านถึงกับเลิกทำการค้าขายเลย สะสางงานการเพื่อไปทุ่มเทให้กับการภาวนาโดยตรง ท่านบอกว่าแบบนี้มันจะดีกว่า
Sun, 19 Nov 2023 - 28min - 815 - 25660916pm--อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายใจ
16 ก.ย. 66 - อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายใจ : อารมณ์อกุศลนะ มันเกิดขึ้นจากการกระทบ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะทำร้ายจิตใจเราได้ทันที ถ้าเรามีสติ ก็แค่เห็นมัน มันก็คงอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เป็นเพราะเราเข้าไปจับ ไปฉวย ไปยึดมัน หรือที่หลวงพ่อคำเขียนพูดว่า เป็นผู้เป็น มันจึงเกิดความทุกข์ เรามักจะเผลอไปจับไปฉวยอารมณ์อกุศล รวมทั้งความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นมาทำร้ายจิตใจของเราอยู่เสมอ แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ แม้มันจะมีความคิดหรือความทรงจำบางอย่างประทับอยู่ในใจเรา แต่มันไม่อาจทำร้ายจิตใจเราได้ถ้ามีสติ อารมณ์อกุศลแม้เกิดขึ้นในใจก็ไม่ใช่ว่ามันจะทำร้ายจิตใจเราได้ทันทีนะ ถ้าหากว่าเราเห็นมัน หรือวางระยะห่างจากมัน ก็เหมือนกับที่มีคนเปรียบว่า เรือมันไม่จมนะ เพราะน้ำที่อยู่รอบๆ เรือ มันจะจมก็ต่อเมื่อน้ำเข้าไปในเรือ ตราบใดที่ความคิดและอารมณ์ มันยังอยู่รอบนอกของใจ มันก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์นะ แต่ถ้าเกิดว่าปล่อยให้มันเข้ามาในใจ มาทำร้ายจิตใจ นั่นแหละจึงจะเกิดทุกข์ และที่มันเข้ามาทำร้ายจิตใจได้เพราะไม่มีสติ สติเหมือนกับเป็นยามที่รักษาใจให้ปลอดภัย ไม่ให้อารมณ์อกุศลเข้ามาทำร้ายจิตใจ แต่ถ้าไม่มีสติเมื่อไร ก็เหมือนว่าไปคว้ามัน ใจก็ไปคว้ามันมาทำร้ายจิตใจตัวเอง แล้วก็เกิดความทุกข์เกิดความรุ่มร้อน เกิดความเจ็บปวด ฉะนั้นในขณะที่เราพยายามหนีห่างความทุกข์ เราต้องระมัดระวังนะ อย่าไปคว้าเอาทุกข์มาใส่ตัว หรือไปคว้าเอาสิ่งเลวร้ายมาทำร้ายจิตใจของตัว แต่ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว เราก็จะทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป ไม่เพียงแต่ไปยุ่งเอาเรื่องของคนอื่น เอาความทุกข์ของคนอื่น เอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นความทุกข์ของตัว แต่ยังเอาอารมณ์อกุศลต่าง ๆ มาทำร้ายจิตใจของตนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถจะเลี่ยงได้ ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว
Tue, 14 Nov 2023 - 27min - 814 - 25660914pm--โลกเป็นอย่างไรอยู่ที่ใจเรา
14 ก.ย. 66 - โลกเป็นอย่างไรอยู่ที่ใจเรา : เราเลือกมองอะไรหรือรับรู้อะไร มันก็มีผลต่อใจของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาถ้าหากว่าเอาใจมาอยู่กับลมหายใจหรือว่าสวดมนต์ จิตใจเราก็พลอยเป็นกุศล แต่ตื่นเช้าขึ้นมาเปิดดูโทรศัพท์มือถือ เปิดดูโซเชียลมีเดีย หรือว่าเปิดดูเรื่องราวที่มันแย่ๆ ในทางการเมือง จิตใจก็ห่อเหี่ยว ฉะนั้นการรับรู้มันก็มีผลต่อใจของเรา เราก็ต้องรู้จักรับรู้หรือเลือกรับรู้ เพื่อให้สิ่งที่รับรู้ที่เป็นสิ่งดีงามมันกล่อมเกลาใจเราให้ดีงามไปด้วย แต่ถ้าเราฝึกสติมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ถ้าจิตใจเราปลอดโปร่ง ผ่องใส เบิกบาน หรือมีความรู้ตัว แม้จะรับรู้สิ่งที่แย่ๆ แม้จะได้ยินคนตำหนิ ใจเราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ มันไม่ใช่ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร ใจเราก็จะต้องเป็นอย่างนั้น บางทีโลกภายนอกมันแย่ หรือว่าเจอคำตำหนิคำต่อว่า แต่ถ้าใจเรามีสติ มันก็ไม่ได้แปลว่าใจเราก็จะหม่นหมองตามไปด้วย คนพูดไม่ดีกับเรา แต่ใจเราไม่ไปใส่ใจด้วย หรือมองเขาด้วยความเข้าอกเข้าใจ มันก็ไม่มีความโกรธความเกลียด อันนี้ก็อยู่ที่ใจเราว่าเราฝึกดีหรือเปล่า ถ้าใจเราฝึกดี ไม่ว่าสิ่งรอบตัวเราจะเป็นอย่างไร แม้จะเป็นลบ แต่ใจเราก็เป็นกลางได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่การฝึกจิตฝึกใจของเรา รู้เท่าทันสิ่งที่รับรู้ รับรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็ทำให้ใจเป็นอิสระจากสิ่งเร้าไปได้ อย่างที่เคยเล่าว่าคนที่ฝึกปฏิบัติมา พอใจเขามีสติ มีความรู้สึกตัว จะเจอคนมาต่อว่าอย่างไร ใจเขาก็นิ่งได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องหงุดหงิดหัวเสียเมื่อได้ยินคำตอบว่าอย่างเดียว ใจเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอกก็ได้เหมือนกัน
Mon, 13 Nov 2023 - 31min - 813 - 25660912pm--เจอสิ่งเร้า ใจไม่เอาด้วย
12 ก.ย. 66 - เจอสิ่งเร้า ใจไม่เอาด้วย : ความคิดซึ่งอาจจะเคยทำให้เราทุกข์ เพราะคิดลบคิดร้ายหรือชอบนึกถึงเรื่องเก่าๆ ทำให้เจ็บปวด บางคนบอกว่าคิดเมื่อไหร่ก็ทุกเมื่อนั้น มันไม่ใช่นะ คิดแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากว่ามีสติเห็นมัน มีความโกรธเกิดขึ้นแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้ามีสติเห็นมัน เห็นความโกรธ รู้ทันมัน นี่คือสิ่งที่เราจะพบได้จากการเจริญสติ นั่นคือการตระหนักว่า ไม่ว่าจะมีสิ่งกระทบหรือสิ่งเร้าจากภายนอกหรือภายใน แต่ใจเราไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อควบคุมความคิด แต่เราปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ถ้าเราปฏิบัติเพื่อควบคุมความคิด ก็จะพยายามบังคับจิตไม่ให้คิด ฝึกจิตให้มั่นนิ่งเอาไว้ แต่ถ้าเราปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ก็หมายความว่ามีความคิดเกิดขึ้นก็ได้ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะใจมีสติเป็นเครื่องป้องกัน หน้าที่ของสติที่จะป้องกันใจไม่ให้ทุกข์ก็คือการรู้ทันเห็นมันได้ไวๆ จนกระทั่งไม่ปล่อยให้มันเข้ามาบงการจิตใจ
Sun, 12 Nov 2023 - 26min - 812 - 25660911pm--ถ้ารักตนก็อย่าเบียดเบียนตน
11 ก.ย. 66 - ถ้ารักตนก็อย่าเบียดเบียนตน : 'ประโยชน์ตน’ กับ ‘ความเห็นแก่ตัว’ มันต่างกันนะ ความเห็นแก่ตัวส่วนใหญ่มันจะคำนึงถึงความถูกใจ ส่วนประโยชน์ตนจะเป็นไปเพื่อความถูกต้อง ‘ถูกต้อง’ กับ ‘ถูกใจ’ มันต่างกันนะ ส่วนใหญ่เราสนใจหรือคำนึงแต่ความถูกใจ ที่อยากร่ำอยากรวย อยากมีโชคมีลาภ หรือว่าอยากกินของอร่อยโดยที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพ หรือว่าติดเกม ติดการพนัน ติดเหล้าบุหรี่ พวกนี้มันล้วนแล้วแต่เป็นเพราะมุ่งแต่ความถูกใจ ถ้ามุ่งถึงความถูกต้อง สิ่งที่ว่ามาเราก็จะไม่สนใจ เพราะอะไร เพราะมันไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นเป็นโทษต่อสุขภาพ เพราะมันเป็นอันตรายต่อจิตใจ ทำอะไรที่คำนึงถึงความถูกใจ ส่วนใหญ่มันก็เป็นไปเพื่อส่งเสริมกิเลสซึ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว หนักขึ้น แต่ถ้าทำอะไรเพื่อความถูกต้อง มันก็จะไปก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายสุขภาพใจ ไม่ว่าจะเป็นการมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ฝืดเคือง ไม่ยากจน การทำอะไรเพื่อความถูกใจต่างหากที่มันทำลายประโยชน์ตนหรือเป็นการเบียดเบียนตน ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจมองไม่เห็น
Sat, 11 Nov 2023 - 29min - 811 - 25660910pm--นึกถึงธรรมแม้ในยามสุข
10 ก.ย. 66 - นึกถึงธรรมแม้ในยามสุข : ในยามนี้ ธรรมะมันจะช่วยเราได้ ให้อยู่กับความทุกข์ ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ โดยเฉพาะถ้าเรายังมีสติ มีสติก็ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นกับกาย แต่ว่ามันจะช่วยรักษาใจ ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ป่วยไปด้วย มันช่วยให้เราสามารถจะรับมือกับทุกข์เวทนา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ และจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมาฝึก ต้องมาสะสม ต้องมาสร้างกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือตั้งแต่ตอนที่ยังมีสุขภาพดี ตอนที่ยังมีกำลังวังชา ตอนที่บ้านเมืองยังปกติสุขอยู่ จึงบอกว่า เวลามันไม่ใช่แค่ในยามทุกข์เท่านั้นที่เราควรจะนึกถึงธรรม ในยามสุข หรือแม้กระทั่งในยามที่ชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้น ก็ต้องนึกถึงธรรม และนึกถึงอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติ อย่าไปเพลินกับความสำเร็จ หรือความปกติสุข จนกระทั่งลืม ตระหนักถึงความจริงว่า ไอ้สิ่งที่มีอยู่ มันเป็นของชั่วคราวเท่านั้นแหละ ดังนั้นหากเรานึกถึงธรรมะเอาไว้ มันจะทำให้เราเกิดความขวนขวาย เกิดความกระตือรือร้น และทำให้เราเร่งปฏิบัติธรรม ทำความเพียร ซึ่งมันจะให้ผลที่คุ้มค่ามาก วันนี้เรารักษาธรรมนะ ต่อไปธรรมก็จะรักษาเรา อันนี้คือสัจจธรรมความจริงอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
Fri, 10 Nov 2023 - 26min - 810 - 25660909pm--เข้าถึงสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข
9 ก.ย. 66 - เข้าถึงสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข : คนที่ขยันทำงาน มีความสุขกับการทำงาน เขาก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเงินทองมาก การที่จะไปคอรัปชั่นเพื่อที่จะได้มีเงินไปซื้ออะไรมาปรนเปรอตนก็น้อย เพราะเขามีความสุขจากการทำงานอยู่แล้ว หรือความสุขจากการที่ได้ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น มันก็ทำให้คลายความยึดติดในสิ่งเสพ ยิ่งความสุขจากสมาธิภาวนาหรือความสงบในใจนี้ มันก็ยิ่งทำให้หันหลังให้กับความสุขจากสิ่งเสพได้เลย อย่างครูบาอาจารย์หรือว่าพระที่ท่านพบกับความสงบในจิตใจนี้ จากการทำกรรมฐาน นั้นเพียงแค่บริขาร 8 ท่านก็อยู่ได้อย่างมีความสุขนะ นั้นคนบางคนสงสัยทำไมพระอยู่ได้ยังไงนะ หลวงพ่อหลวงตาท่านไม่ได้มีอะไรเลยนะ แต่ทำไมท่านอยู่ได้ เพราะว่าท่านมีความสุขจากสมาธิภาวนา ใจก็เลยไม่ตกเป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพ จิตใจมันปล่อยมันวางในวัตถุในทรัพย์เอง เพราะว่าได้พบสิ่งที่ประเสริฐกว่า ฉะนั้นถ้าเราพยายามที่จะเข้าถึงความสุขที่ประณีต เริ่มจากความสุขจากการทำสิ่งที่ดี ใฝ่รู้ใฝ่ธรรม ขยันทำงาน มีความสุขกับการทำงาน มีฉันทะในการทำงาน อันนี้ก็ถือว่าเรามีของดีที่จะช่วยทำให้ใจเราเป็นอิสระจากวัตถุสิ่งเสพได้มากขึ้น ยิ่งถ้าเราสามารถจะเข้าถึงความสงบภายใน สงบจากกิเลส สงบจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวนภายใน ก็ยิ่งทำให้วัตถุสิ่งเสพมันมีความหมายหรือแรงดึงดูดต่อจิตใจเราน้อยลง เราก็สามารถจะเป็นอิสระนะจากสิ่งเหล่านี้ได้ ความยึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นก็จะค่อยๆ คลายไปเอง แม้จะยังมีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในระดับที่จะเป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นโทษต่อชีวิตจิตใจ
Thu, 09 Nov 2023 - 28min - 809 - 25660908pm--ฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐ
8 ก.ย. 66 - ฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐ : มันสุดแท้แต่ว่าเราจะฝึกจิตแบบไหน ถ้าเราฝึกไปในทางที่ดี จิตก็จะเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเรา ถึงเวลาเกิดอุปสรรคเกิดความวิกฤตอะไรต่างๆ สติก็ดี ความรู้สึกตัวก็ดี เมตตาก็ดี มันก็จะเข้ามาช่วยรักษานะให้ผ่านพ้นจากวิกฤตได้ ฉะนั้นมันอยู่ที่การเลือกของเรา เราจะเลือกฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเรา หรือจะฝึกจิตให้เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเราก็ได้ ฉะนั้นการที่เราฝึกสติ ถ้าเราฝึกสติบ่อยๆ สร้างความรู้สึกตัวบ่อยๆ แน่นอนเลยว่ามันจะช่วยทำให้จิตของเราเป็นจิตที่ประเสริฐ เป็นจิตที่พร้อมที่จะพาเราผ่านพ้นอุปสรรค ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม การสวดมนต์บ่อยๆ การเจริญสติบ่อยๆ การทำความรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ พวกนี้ไม่มีคำว่าสูญเปล่า ไม่มีคำว่าไร้ประโยชน์ มันจะมีประโยชน์เกื้อกูลเราไม่วันนี้ก็วันหน้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราพยายามทำสิ่งนี้ซ้ำๆ กัน ทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ เราจะได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก
Wed, 08 Nov 2023 - 28min - 808 - 25660907pm--หาประโยชน์จากทุกข์ให้เจอ
7 ก.ย. 66 - หาประโยชน์จากทุกข์ให้เจอ : หลวงพ่อคำเขียนจึงบอกว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” ซึ่งท่านเขียนไว้ในช่วงท้ายๆของชีวิต ทีแรกก็เห็นทุกข์ด้วยสติก่อน คือเห็นอารมณ์ที่มันทำให้ทุกข์ และยกจิตหรือพาจิตออกจากอารมณ์เหล่านั้น อันนี้เรียกว่าไม่เข้าไปเป็นผู้ทุกข์ เพราะเห็นทุกข์ เห็นอารมณ์ที่ทำให้ทุกข์ แต่ต่อไปก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้นแหล่ะ อันนี้เป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งมาก เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นตัวทุกข์ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นเหมือนของหนักที่แบกเมื่อไหร่ก็หนักเมื่อนั้น เป็นเหมือนของร้อนที่จับเมื่อไหร่ก็ลวกมือเมื่อนั้น เป็นเหมือนของแหลมที่ถูกเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ฉะนั้นอย่างเดียวที่ควรทำคือ วางมันลงซะหรือไม่เกี่ยวข้องกับมันเกี่ยวข้องแบบไม่ยึด เรียกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น พวกนี้ทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ลองพิจารณาดูดีๆความทุกข์แม้ว่าเราจะยังไม่เห็นว่าทุกข์คือสัจธรรม แต่อย่างน้อยไม่ว่ามันจะเป็นความเจ็บความป่วย ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียพลัดพราก มันก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์รู้จัก ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากมัน
Wed, 08 Nov 2023 - 26min - 807 - 25660906pm--รักษาใจในยามป่วย
6 ก.ย. 66 - รักษาใจในยามป่วย : พอเกิดทางความปวดทางกาย แล้วจิตมันโวยวายตีโพยตีพาย มันเกิดอาการต่อสู้ผลักไส ไม่ยอมรับ ตรงนี้คือตัวเพิ่มทุกข์ เป็นตัวซ้ำเติมความทุกข์ให้กับจิต แต่ถ้าเกิดว่าแม้เราจะไม่มีสติไวพอที่จะเห็นเวทนา ไปดูเวทนาทีไร มันเข้าไปเป็นผู้ปวดทุกที แต่ว่าสามารถที่จะเอาสติมาดูจิตได้ ดูจิตเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น เห็นอาการที่ไม่ปกติของจิต ที่มันโวยวายตีโพยตีพาย เห็นอาการของจิตที่มันเกิดความหงุดหงิด อาการพวกนี้พอมันถูกเห็นด้วยสติ มันก็จะสงบ มันก็จะกลับมาเป็นปกติขึ้นมา ที่เคยปฏิเสธไม่ยอมรับ ที่เคยผลักไส มันก็จะสงบ มันก็จะนิ่ง มันก็จะเป็นการทำให้ความทุกข์ของใจมันลดลง ก็คือมีสติมาเห็นจิต มีสติมาดูจิต แม้ว่าสติยังไม่ไวพอ แข็งแรงพอที่จะมาดูเวทนา เรื่องพวกนี้พูดไปก็อาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าเราได้ลองทำดู ลองฝึกดู เวลามดกัดยุงกัด เวลาแดดเผา เราก็มาฝึกดูเวทนา หรือไม่ก็ฝึกดูจิต ดูอาการของจิตที่มันโวยวายตีโพยตีพาย ผลักไส ไม่ยอมรับ ไม่ไหวแล้วๆ มีสติเห็นจิตก่อน พอมีสติเห็นจิตได้ไว ต่อไปมันก็จะมีสติดูเวทนา แต่ก่อนก็เห็น ไม่เข้าไปเป็นผู้โกรธ ผู้หงุดหงิด ต่อไปมันก็จะเห็นความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด อันนี้ก็ช่วยทำให้สามารถที่จะอยู่กับความปวดได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
Sun, 05 Nov 2023 - 30min - 806 - 25660905pm--เมินให้เป็นก็เย็นได้
5 ก.ย. 66 - เมินให้เป็นก็เย็นได้ : สติ ถือว่าเป็นเครื่องคุ้มกันจิต ไม่ให้ความคิดและอารมณ์เหล่านี้มาครอบงำ เราห้ามมันไม่ได้ ห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่แม้มันเกิดขึ้นแล้วมันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ เพราะเรามีสติ มีความรู้สึกตัว หรือเรามีความรู้ตัว ที่เรามาฝึกสติกันก็อย่างนี้แหละ เพื่อที่เราสามารถที่จะเมิน หรือว่าวางความคิดหรือและอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นอกุศล รวมทั้งเราสามารถที่จะเมินความพร่องความไม่สมบูรณ์ รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นแต่ถ้าเราไปใส่ใจกับมันมาก เราก็ยิ่งทุกข์ เราไม่ใช่แค่ทุกข์กายแต่ทุกข์ใจด้วย แล้วพอมีความเจ็บป่วยก็เกิดทุกข์ก็เวทนาขึ้นมา ทุกขเวทนานี้แหละคือสิ่งที่เราสามารถที่จะเมินมันได้เหมือนกัน อย่าไปจดจ่อใส่ใจกับมันมาก แต่ธรรมดาพอเกิดทุกขเวทนาความเจ็บความปวดเกิดขึ้น ยิ่งไม่ชอบยิ่งจดจ่อ ยิ่งไม่ชอบยิ่งจดจ่อ ความคิดลบคิดร้ายยิ่งไม่ชอบยิ่งผุดยิ่งโผล่ แล้วถ้าเรายิ่งปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง เช่นไปกดข่มมันเอาไว้ มันก็ยิ่งอาละวาดหนัก ความเจ็บความปวดที่เราพยายามผลักไสมัน มันยิ่งรบกวนรังควานจิตใจ แต่ถ้าเรารู้จักรู้ทันมัน เราก็สามารถที่จะเมินได้ วางมันลงได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย ศิลปะในการเมิน ในการไม่ใส่ใจ ไม่ว่าสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา หรือว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเรา ร่างกายของเรา หรือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ เราต้องรู้จักฉลาดในการเมิน หรือว่าสามารถที่จะมีศิลปะในการเมินสิ่งเหล่านี้ได้
Sat, 04 Nov 2023 - 27min - 805 - 25660904pm--เจอทุกข์แต่ใจสงบ
4 ก.ย. 66 - เจอทุกข์แต่ใจสงบ : ไม่ใช่แค่ฝึกจิตเพื่อจะให้พบกับความสงบและความสุข มันไม่พอ มันต้องฝึกเพื่อสามารถจะอยู่ความไม่สงบและความทุกข์ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เพราะชีวิตของเรามันหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น ความไม่สงบในจิต ความเจ็บปวดทางกาย ความสูญเสียความพลัดพราก พวกนี้เรียกว่าทุกข์หรือว่าอนิฏฐารมณ์ แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วใจไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะสามารถจะอยู่กับมันได้ ถ้าหากเราฝึกมาถึงตรงนี้ได้ ก็พอจะมีหลักประกันว่า เมื่อเจอความผันผวนปรวนแปรในชีวิตแล้ว เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากับกาย หรือกับความคิดและอารมณ์ภายใน ไม่ใช่ว่าเราคิดแต่จะหนีทุกข์ หวังแต่จะเจอความสงบอย่างเดียว ซึ่งมันไม่พอ เราต้องเจอความไม่สงบ เสียงดัง เจอคนรอบข้างทำตัวไม่น่ารัก เจอความเจ็บความป่วย เจอความสูญเสีย แล้วอยู่กับมันได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ อันนี้จะเป็นการฝึกจิตขั้นที่สูงขึ้นไปอีก ตราบใดที่เรายังฝึกจิตเพียงแค่ว่าหวังความสงบและความสุข ยังถือว่าไม่ดีพอ ไม่มีหลักประกันเพียงพอ เพราะความสงบหรือความสุขที่แม้จะบรรลุแต่มันก็ไม่เที่ยง และถ้ามันกลายเป็นความไม่สงบ กลายเป็นความทุกข์ ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความทุกข์ ความคับแค้นใจ
Fri, 03 Nov 2023 - 26min - 804 - 25660903pm--อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น
3 ก.ย. 66 - อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น : ถ้าเรามองว่า เรามีหน้าที่ฝึกตนให้สมกับเป็นชาวพุทธ การที่เราจะมองอะไรว่า อะไรๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา ดีทั้งนั้น ก็เป็นเรื่องง่าย คนที่มองว่าเรามีหน้าที่ฝึกตน ฝึกจากทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่คิดแบบนี้จะมีข้อได้เปรียบก็คือว่า สามารถที่จะเรียนรู้จากทุกสิ่งได้ แม้จะเป็นสิ่งที่มันไม่ถูกใจเรา สามารถที่จะมองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น คำต่อว่าด่าทอ รถติด หรือว่า ความเจ็บ ความป่วย ความแก่ชรา พวกนี้มันดีทั้งนั้น มันมาสอนธรรมให้กับเรา แม้ว่ามันจะทำให้เกิดทุกขเวทนา แต่มันก็เป็นแบบฝึกหัดให้กับใจเรา เพื่อยกจิตให้อยู่เหนือทุกขเวทนาก็ได้ คนเราถ้าคิดว่าชีวิตนี้มันเป็นไปไม่ใช่เพื่อหาความสบาย แต่เพื่อการฝึกฝนตน มันต่างกันมาก เพราะการเกิดมามีชีวิตเพื่อหาความสบายมันก็จะทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้แหละ แต่คนเราถ้าหากว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อฝึกฝนตน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ย่อมดีทั้งนั้นแม้มันจะเป็นอนิฏฐารมณ์ก็ตาม
Thu, 02 Nov 2023 - 25min - 803 - 25660902pm--อย่าเอาถูกเอาผิดจนลืมตัว
2 ก.ย. 66 - อย่าเอาถูกเอาผิดจนลืมตัว : พอยึดมั่นในความถูกต้องใครที่ไม่ถูกก็กลายเป็นคนละฝ่ายคนละพวก เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดชังกัน ทั้งๆ ที่ก็เป็นสามีภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก หรือเป็นเพื่อนก็สามารถจะเกลียดชังกันได้ เพราะว่าไปยึดมั่นถือมั่นในความถูกต้องจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าคนเราเวลามีการต่อว่ากัน เวลามีการโจมตีกัน อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเกิดความรู้สึกเจ็บปวด แล้วก็ต้องตอบโต้ฉันปวดมากเท่าไหร่ ฉันต้องทำให้เธอปวดมากกว่านั้น อันนี้เป็นเพราะเกิดความลืมตัว พอลืมตัวแล้ว มันก็ลืมหมดว่าคนนี้เป็นเพื่อน คนนี้เป็นสามี คนนี้เป็นภรรยา คนนี้เป็นพ่อ คนนี้เป็นลูก มันลืมหมด ที่ลืมตัวก็เพราะว่า สิ่งที่ตัวเองยึดมั่นเอาไว้ คือยึดว่าเป็นตัวกูของกูมันถูกกระทบ พอตัวกูถูกกระทบ อัตตาก็เข้ามาครองใจ แล้วเมื่ออัตตาเข้ามาครองใจ ก็ลืมหมดว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ก็กลายเป็นว่าพอยึดมั่นในความถูกต้อง แทนที่จะเกิดความถูกต้อง มันจะเกิดความไม่ถูกต้องขึ้นมาในที่สุด เพราะฉะนั้น ต้องตระหนักว่า การที่คนเราดำเนินชีวิตบนความถูกต้อง ดี แต่ว่าต้องระมัดระวังในการคาดหวัง หรือเรียกร้องความถูกต้องจากคนอื่น หรือจากสิ่งอื่น เพราะว่ามันสามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
Wed, 01 Nov 2023 - 25min - 802 - 25660901pm--เรียนรู้ทุกครั้งที่เจอทุกข์
1 ก.ย. 66 - เรียนรู้ทุกครั้งที่เจอทุกข์ : ถ้าเกิดว่าเราได้คิดได้ตระหนักว่า ทำยังไงเมื่อเจอความทุกข์แล้วก็อย่าทุกข์ฟรี เมื่อเจอความกลัวก็อย่ากลัวฟรีๆ เมื่อเจอความโศกเศร้าก็อย่าโศกเศร้าฟรีๆ ให้เรียนรู้ว่ามันเกิดเพราะอะไร แล้วตรงนั้นแหละนะที่มันจะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา อย่างที่บอก “เจอทุกข์ จึงจะเห็นธรรม” แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เจอทุกข์แล้วจะเห็นธรรมเสมอไป ส่วนน้อยที่เจอทุกข์แล้วเห็นธรรม ส่วนใหญ่เจอทุกข์แล้วก็คร่ำครวญ หลง เพราะไม่คิดที่จะใคร่ครวญ ทบทวนชีวิตจิตใจของตัว อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัว ถ้าเกิดว่าเราตระหนักเช่นนี้นี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอความทุกข์ ก็ให้กลับมาตั้งสติ แล้วก็มาใคร่ครวญว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เพราะว่าความเจ็บปวดทุกครั้ง หรือความทุกข์แต่ละครั้งๆ มันสามารถจะให้บทเรียนแก่เราได้ ถ้าเรารู้ว่ามันทุกข์เพราะอะไร นี้คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าสอนเรา “เมื่อเจอทุกข์ ก็ให้รู้ทุกข์ ให้เห็นทุกข์ เพราะถ้ารู้ทุกข์ เห็นทุกข์ มันก็จะเห็นสมุทัย แล้วถ้าเห็นสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์แล้ว หนทางแห่งการพ้นทุกข์หรือดับทุกข์ก็เกิดขึ้นได้” นี่คือการเรียนรู้ที่สำคัญ สรุปก็คือว่า อย่าไปกลัวทุกข์ อย่าไปหนีทุกข์ และพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกข์ อย่าทุกข์ฟรีๆ
Tue, 31 Oct 2023 - 27min - 801 - 25660831pm--ฝึกใจให้พร้อมรับความเจ็บป่วย
31 ส.ค. 66 - ฝึกใจให้พร้อมรับความเจ็บป่วย : เราก็จะสามารถที่จะเรียนรู้จากความเจ็บป่วยนี้ได้ แล้วก็จะมีความพร้อมมากขึ้นในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยในวันหน้าซึ่งก็รักษาไม่หาย คนเราแม้ว่าจะเจอความเจ็บความป่วยมากมาย อาจจะรักษาหายได้ แต่สุดท้ายมันจะมีความเจ็บความป่วยชนิดหนึ่งที่รักษาไม่หาย แล้วก็ยืดเยื้อเรื้อรัง และสุดท้ายมันก็ทำให้เราหมดลม ฉะนั้น ต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกนี้เอาไว้ ด้วยการฝึกจิตใจอยู่เสมอ คาถาอาคมต่างๆ ที่เรียนมา หรือที่มาใช้ในการหาบริษัทบริวาร หรือแม้แต่อำนาจที่มีในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคุณ ก็ไม่ได้ช่วยเลย แต่ว่าธรรมะโดยเฉพาะสติ ความรู้สึกตัว สมาธิ ปัญญา มันจะช่วยเราได้คือ “ทุกข์กาย แต่ใจไม่ทุกข์” หรือว่า “มีทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์” แล้วพวกนี้มันต้องฝึก อย่าฟังแต่ธรรมะอย่างเดียว ไม่พอ อ่านธรรมะเท่าไรมันก็ไม่ช่วย จนกว่าจะได้ฝึก และไม่ได้ฝึกจากอะไร ก็ฝึกจากความทุกข์นี่แหละ ฝึกจากสิ่งที่ไม่ถูกใจนี่แหละ ฝึกจากอนิฏฐารมณ์นี่แหละ ต้องฝึกจากสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ใจเราจึงจะพร้อมในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยและความผันผวนปรวนแปรในวันข้างหน้าได้
Mon, 30 Oct 2023 - 28min - 800 - 25660830pm--รู้ใจช่วยให้ชีวิตปลอดภัย
30 ส.ค. 66 - รู้ใจช่วยให้ชีวิตปลอดภัย : รู้จักเติมสุขให้ใจ มันเป็นประโยชน์ที่มีคุณค่ามาก และที่จริงก็เป็นประโยชน์แค่เสี้ยวเดียวของการ “รู้ใจ” เพราะถ้าเรารู้ใจไปเรื่อยๆ มันก็จะทำให้เราเข้าใจความจริงของใจ แล้วก็ทำให้เราสามารถจะไม่ไปยึดติดถือมั่นกับความคิดและอารมณ์ใดๆ ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ที่สำคัญมาก ซึ่งมันช่วยเสริมความรู้ที่เรียกว่าวิชาชีวิต เพราะในตัววิชาชีวิตมันไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติจากการสังเกตดูใจ มันจะไม่เห็นอย่างแจ่มแจ้งนะว่ามีประโยชน์อย่างไร และจะเอามาใช้กับชีวิตได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีความรู้ตัว แล้วก็หมั่นรู้ใจ สังเกตใจ มันก็จะมีความรู้ชนิดที่ว่าดูแลตัวให้อยู่รอด ไม่ได้อยู่รอดแบบมีชื่อมีเสียง แต่อยู่รอดปลอดภัยจากความทุกข์ที่เกิดจากความผันผวนปรวนแปรในชีวิต ความรู้อย่างนี้แหละสำคัญ ที่มันช่วยให้เรามีชีวิตที่ผาสุก มีชีวิตที่ดีงามได้ ถ้ามีความรู้แบบนี้ มันจะไม่เกิดปัญหาว่าความรู้ท่วมหัวออกตัวไม่รอด มันจะไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เลย
Sun, 29 Oct 2023 - 28min - 799 - 25660823am--มองเป็นก็เห็นทางออกจากทุกข์
23 ส.ค. 66 - มองเป็นก็เห็นทางออกจากทุกข์ : อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนสอนให้รู้ซื่อๆ ไม่ผลักไส ไม่ไหลตาม หรือแค่เห็นไม่เข้าไปเป็น มันก็ช่วยทำให้หาความทุกข์มันบรรเทาเบาบางลงได้ ไม่ใช่แค่ว่าความโกรธหายไป ความหงุดหงิดหายไปเมื่อมีสติ แต่แม้มันยังอยู่ แต่มันก็ทำอะไรจิตใจไม่ได้เพราะว่าแค่รู้ หรือเห็นมันเฉยๆ ไม่ผลักไส เมื่อไม่ผลักไสมัน มันก็ไม่สามารถมามีอำนาจครองใจเราได้ ฉะนั้นถ้าเราหมั่นมองตนอยู่เสมอ เราจะเห็นความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ได้ชัดเจน เราจะเห็นได้ละเอียดขึ้น เราจะไม่มองคลุมๆ การมองแบบพุทธคือการมองแบบละเอียด เห็นเป็นขั้นเป็นตอน เห็นอย่างประณีต ไม่ใช่เหมารวม ไม่ใช่มองคลุมๆ ถ้ามองคลุมๆก็จะบอกว่าที่เอามือปัดกางเกงเพราะมดกัด แต่ถ้ามองละเอียดก็จะพบว่ามันไม่ใช่ สาเหตุนั้นมันอยู่ที่ใจทั้งนั้นเลย ที่เรามาปฏิบัติก็เพื่ออันนี้ ถ้าเราปฏิบัติแล้วมองไม่เห็นว่าเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจ การปฏิบัติของเราก็แค่ผิวเผิน ปฏิบัติแค่ตามรูปแบบ หรือว่าการทำโดยไม่ได้เข้าใจอะไร แต่ถ้าเรามองเป็น เราก็จะเห็นเลยว่าเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจ แล้วก็วางใจให้ดี ปฏิบัติให้ถูก มีสติ ใจก็ไม่ทุกข์
Mon, 23 Oct 2023 - 34min - 798 - 25660822pm--หายหลงก็หมดทุกข์
22 ส.ค. 66 - หายหลงก็หมดทุกข์ : อันนี้แหละคือสิ่งที่ต่อมาหลวงพ่อได้สรุปว่า เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์ เห็นว่าขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ มันก็พ้นทุกข์แล้ว เมื่อเห็นว่ามันเป็นทุกข์ หรือเป็นตัวทุกข์ จิตก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ก็เรียกว่าออกจากทุกข์ได้ เรียกว่าความหลง อันได้แก่ การไม่รู้ความจริง หรืออวิชชา มันหมดไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มต้นจากการที่สร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น เมื่อมีความรู้สึกตัว ความไม่รู้เนื้อรู้ตัวหรือความหลงขั้นพื้นฐานมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เรื่องการปฏิบัติของหลวงพ่อที่ท่านแนะนำ มันไม่ใช่เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เราใจสบาย เกิดความสงบชั่วครั้งชั่วคราว แต่ที่จริงแล้วมันสามารถจะช่วยทำให้เราออกจากทุกข์ได้ ทีแรกออกจากทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะว่า ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ต่อไปมันก็จะเป็นการปล่อยวางไม่ใช่เฉพาะอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น แต่ปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ที่เรียกว่าขันธ์ 5 หรือสังขารทั้งหลาย ซึ่งนั่นแหละเป็นการออกจากทุกข์อย่างแท้จริง
Sun, 08 Oct 2023 - 30min - 797 - 25660821pm--ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์
21 ส.ค. 66 - ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ "ไม่ทุกข์" : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตร สัตว์เหล่านั้นจะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความแก่ ความป่วย ความตาย จริงๆแล้วมี แต่ไม่มีผู้แก่ ไม่มีผู้ป่วย ไม่มีผู้ตาย แล้วที่มีคือ มีความแก่ มีความป่วย มีความตาย อันนี้เรียกว่าพ้นจากความแก่ความป่วยความตาย ไม่ใช่ว่าไม่มีความแก่ความป่วยความตาย มี แต่ว่าไม่มีผู้แก่ผู้ป่วยผู้ตาย ฉะนั้นจึงไม่มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจได้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน หรือว่าไม่ไปเกิดใหม่ ไม่ไปเกิดใหม่ก็ไม่มีความแก่ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากอีก แม้กระทั่งขณะที่ยังมีลมหายใจ แม้มีความป่วยก็ไม่มีผู้ป่วย แม้มีความแก่ก็ไม่มีผู้แก่ แม้มีความตายก็ไม่มีผู้ตาย อันนี้เรียกว่า แม้ว่าเจอทุกข์แต่ว่าไม่มีผู้ทุกข์ เพราะว่าใจไม่ได้ทุกข์ด้วย แล้วนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากการที่เราหันมาศึกษาเรียนรู้กายและใจ ชนิดที่ทำให้เกิดสติและปัญญาที่ทำให้เห็นสัจธรรมความจริง รวมทั้งเห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายและใจ ว่ามันเป็นสักแต่ว่าอาการ ไม่ใช่เราที่เป็นผู้ทุกข์
Sat, 07 Oct 2023 - 27min - 796 - 25660819pm--อยู่อย่างไรใจไม่ทุกข์Fri, 06 Oct 2023 - 1h 09min
- 795 - 25660817pm--เป็นอิสระจากคุกทางใจ
17 ส.ค. 66 - เป็นอิสระจากคุกทางใจ : อันนี้เรียกว่า แม้เจอคุกทางกาย แต่ใจสามารถจะเป็นอิสระได้ในระดับหนึ่ง เราก็ไม่รู้นะว่าเราจะติดคุกแบบนี้หรือเปล่า อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นโรคล็อกอินซินโดรม แต่อาจจะติดเจ็บป่วยนอนติดเตียงอยู่ในห้อง ICU อันนี้ คือสิ่งที่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับผู้คนทั้งหลายในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเวลาในวัยแก่ชรา เมื่อร่างกายกลายเป็นคุก ซึ่งหลายคนก็ทนไม่ได้ ปล่อยให้ใจจมอยู่ในคุกอีกชั้นหนึ่ง เกิดความกระสับกระส่าย ทุรนทุราย แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะ มีสติ รู้จักกรรมฐาน ก็สามารถที่จะปลดล็อคใจให้เป็นอิสระได้ แม้ว่ากายจะต้องติดเตียง มีพันธนาการ มีสายระโยงระยาง แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ทรมาน เพราะใจเป็นอิสระ อันนี้เป็นการบ้านที่เราต้องตระหนัก แล้วก็ฝึกเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะเจอแบบนี้หรือเปล่า วันที่ร่างกายกลายเป็นคุก แต่ถ้าเราฝึกใจไว้ดี ใจก็เป็นอิสระได้
Thu, 05 Oct 2023 - 28min - 794 - 25660816pm--อย่าให้ความคาดหวังบีบคั้นใจ
16 ส.ค. 66 - อย่าให้ความคาดหวังบีบคั้นใจ : เหมือนอย่างที่หลวงพ่อชาเคยพูดกับโยม โยมมาบอกว่าขอโทษที่เสียงดนตรีข้างนอกรบกวนการนั่งสมาธิของพระและโยมในศาลา หลวงพ่อบอกว่าโยม อย่าคิดว่าเสียงดนตรีรบกวนเรา เราต่างหากที่ไปรบกวนเสียงดนตรี หมายความว่าที่โยมรู้สึกหงุดหงิด เพราะว่าใจโยมไปทะเลาะกับเสียงดนตรี เสียงดนตรีไม่ได้ทำอะไรเรา ถ้าแค่รู้ซื่อๆ รู้แล้ววาง รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็ไม่หงุดหงิด หรือถึงจะไม่รู้ทัน เกิดอารมณ์เสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สายที่จะไปรู้ทันอารมณ์ เช่นความหงุดหงิด รู้แล้วก็วาง อารมณ์พวกนี้มันแพ้การถูกรู้ถูกเห็นด้วยสติ ถ้าไปรู้ไปเห็นมันด้วยสติเมื่อไหร่ มันฝ่อเลย ฉะนั้นถ้าเกิดพ่อค้ารู้วิธีการฝึกสติ ก็สามารถที่จะรักษาใจให้สงบได้ แม้จะมีเสียงเด็กโหวกเหวกอยู่หน้าร้าน หรือแม้จะเผลอเกิดความหงุดหงิดไปแล้ว แต่ว่าก็วางมันได้เพราะรู้ทัน มีหลายคนทำได้นะ อย่าว่าแต่เสียงโหวกเหวกเลย เสียงเลื่อยยนต์ เสียงเคาะเสียงค้อนกระทบหู แต่ใจก็ยังสงบได้ เพราะว่าเขารู้วิธีการฝึกสติ รักษาใจแม้ว่าสิ่งรอบตัวจะเต็มไปด้วยสิ่งเร้าก็ตาม ฉะนั้นถ้าเกิดพ่อค้าแกรู้จักวิธีการฝึกสติอย่างถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาทางหลอกล่อให้เด็กเขาเลิกเล่น ด้วยความผิดหวัง ด้วยความไม่พอใจ
Wed, 04 Oct 2023 - 25min - 793 - 25660815pm--จากสะอาด สงบ สู่สว่าง
15 ส.ค. 66 - จากสะอาด สงบ สู่สว่าง : แต่ก่อนมันก็ยึดมั่นในร่างกายนี้ ยึดมั่นแม้กระทั่งความคิดและอารมณ์ว่าเป็นของกูๆๆ ทั้งๆ ที่ไม่น่ายึด แต่นั่นเป็นเพราะความหลง ความไม่มีสติ แต่พอมีสติ มันก็จะเห็นเลยนะว่า นั่นไม่ใช่กู แล้วมันก็ไม่ใช่ของกูด้วย ก็จะทำให้คลายความคิดมั่นถือมั่น ขยายไปถึงสิ่งที่อยู่นอกตัว ไม่ใช่แค่รูปและนามที่คลายความยึดมั่น แต่ว่าสิ่งนอกตัวก็จะเห็นว่า มันไม่น่ายึด ไม่น่าถือ แต่สิ่งสำคัญก็คือตรงนี้แหละ ก็คือการคลายความยึดมั่นในตัวกู เวลาเห็นอะไรเกิดขึ้นกับกาย มันก็ไม่คิดว่าเป็นกู แต่มันเป็นเรื่องของกาย ตอนที่อาจารย์กำพลเริ่มเจริญสติอยู่บนเตียง ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากพลิกมือไป พลิกมือมา และหลวงคำเขียนก็สอนท่านทางจดหมายว่า ที่พลิกนี้คือรูป และความคิดที่เกิดขึ้นมันคือนาม สิ่งที่พลิกมันคือรูป สิ่งที่คิดมันคือนาม พอเจริญสติไปมากๆ เข้า ไม่เพียงจะรู้ทันความคิด แต่ยังเห็นไปอีกว่า เวลาพลิกไม่ใช่เราพลิกนะ มันคือรูปที่พลิก เวลาที่ความคิดเกิดขึ้นมันไม่ใช่เราคิดนะ มันคือนามที่คิด พอพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นเลยนะว่า ที่พิการนั้นไม่ใช่เราพิการนะ แต่มันเป็นแค่กายที่พิการ อาจารย์กำพลจึงได้เห็นความจริงที่เป็นพื้นฐานมากเลยนะ ที่พิการนั้นไม่ใช่เราพิการ หรือไม่ใช่กูพิการนะ แต่เป็นรูปที่พิการ มันไม่มีกูพิการด้วย อาจารย์กำพลบอกว่าตอนนั้นออกจากความทุกข์ได้เลยนะ ไปเผลอหลงคิดตั้งนานว่าเป็นเราที่พิการ ที่จริงไม่ใช่เราหรอก มันเป็นรูปที่พิการต่างหาก ไม่มีเราพิการ เพราะไม่มีเราตั้งแต่แรก มันมีแต่รูปกับนาม
Tue, 03 Oct 2023 - 28min
Podcasts ähnlich wie Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)
- นิทานชาดก 072
- Conversations ABC listen
- พี่อ้อยพี่ฉอด พอดแคสต์ CHANGE2561
- หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม dhamma.com
- People You May Know FAROSE podcast
- รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด Hoy Apisak
- เล่าเรื่องรอบโลก by กรุณา บัวคำศรี karunabuakamsri
- ลงทุนแมน longtunman
- Mission To The Moon Mission To The Moon Media
- พระเจอผี Podcast Prajerpee
- เคาะข่าวค่ำ radio tonews
- SONDHI TALK sondhitalk
- อ่านแล้วอ่านเล่า Ta Thananon Domthong
- คุยให้คิด Thai PBS Podcast
- พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) Thammapedia.com
- พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) Thammapedia.com
- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน Thammapedia.com
- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย Thammapedia.com
- The Secret Sauce THE STANDARD
- THE STANDARD PODCAST THE STANDARD
- คำนี้ดี THE STANDARD
- ข่าวสดสายตรงจากวีโอเอ ภาคภาษาไทย 6:30 – 7:00 น. - วอย VOA
- พุทธวจน พุทธวจน
- หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ